บทความ: พระเจ้าของให้มุสลิมเปิดรับพหุวัฒนธรรม เพราะการยอมรับจะนำไปสู่ความยุติธรรม
ในศาสนาอิสลาม พระองค์อัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์ให้มีความหลากหลาย ทั้งในด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม และภาษา อันเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ประกาศไว้ในอัลกุรอานหลายโองการ ความหลากหลายนี้ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ควรยอมรับ แต่ยังเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการสร้างความยุติธรรมในสังคม
ในบทความของอาจารย์อาลี เสือสมิง “พหุวัฒนธรรม บนหลักการศาสนาอิสลาม” ได้กล่าวถึงบทบาทของอัลกุรอานในการสร้างองค์ความรู้เชิงพหุวัฒนธรรมว่า: “คัมภีร์อัล-กุรอาน คือพระดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ ซึ่งประกาศว่ามนุษยชาติมีต้นกำเนิดจากอาดัมและหะวาอฺผู้เป็นปฐมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินโลก และกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย และความหลากหลายของชาติพันธุ์มนุษย์เป็นบ่อเกิดของพหุวัฒนธรรม”
ม่านแห่งความไม่รู้: ปรัชญาแห่งความยุติธรรม
การยอมรับความหลากหลายในศาสนาอิสลามยังสอดคล้องกับแนวคิดทางปรัชญาที่เรียกว่า “ม่านแห่งความไม่รู้” (Veil of Ignorance) ซึ่งเสนอโดยจอห์น รอลส์ (John Rawls) นักปรัชญาชาวตะวันตก รอลส์ได้เสนอแนวคิดนี้ในหนังสือ A Theory of Justice ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์ที่มนุษย์ต้องตัดสินใจในเรื่องของความยุติธรรมโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองจะอยู่ในสถานะใดในสังคม แนวคิดนี้เสนอว่า ถ้าทุกคนต้องตัดสินใจเกี่ยวกับกฎระเบียบและนโยบายต่างๆ โดยที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับสถานะทางสังคมของตนเอง เช่น เชื้อชาติ เพศ หรือฐานะทางเศรษฐกิจ พวกเขาจะสร้างระบบที่เป็นธรรมและไม่กีดกันใครออกจากสิทธิขั้นพื้นฐาน
เมื่อเชื่อมโยงแนวคิดนี้กับศาสนาอิสลาม การยอมรับความหลากหลายที่พระองค์อัลลอฮฺทรงสร้างขึ้น เป็นการกระทำที่สะท้อนถึงความยุติธรรมในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ถูกกีดกันหรือแบ่งแยก การยอมรับและเคารพในความแตกต่างนี้ จึงนำไปสู่การปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม และสร้างสังคมที่มีความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาไว้ในอัลกุรอาน
ปฏิญญามักกะฮ์กับพหุวัฒนธรรม
ปฏิญญามักกะฮ์เป็นเอกสารที่ถูกประกาศในงานประชุมอิสลามนานาชาติซึ่งจัดขึ้นที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยองค์การสันนิบาตโลกมุสลิม (Muslim World League) ในช่วงวันที่ 17-19 มีนาคม พ.ศ. 2567 การประชุมครั้งนี้มีจุดประสงค์หลักในการสร้างสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มนิกายในอิสลาม โดยมีนักปราชญ์และผู้นำทางศาสนาจากทั่วโลกเข้าร่วมกว่า 300 คน ปฏิญญามักกะฮ์ประกอบด้วย 28 ข้อ โดยมีเนื้อหาสำคัญที่เน้นการสร้างเอกภาพและการเคารพความหลากหลายทางความเชื่อและปฏิบัติภายในอิสลาม ตัวอย่างเช่น ข้อที่ 8 ซึ่งกล่าวถึงการยอมรับในความหลากหลายของนิกายและความคิดเห็นที่แตกต่างในอิสลามว่าเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงกำหนดและต้องจัดการด้วยวิทยปัญญาและความระมัดระวัง ข้อปฏิบัติเหล่านี้สะท้อนถึงความสำคัญของการยอมรับพหุวัฒนธรรมในสังคมมุสลิม ซึ่งเป็นประตูสู่ความยุติธรรมและความสงบสุขในชุมชนตามหลักการศาสนาอิสลาม แสดงให้เห็นถึงความสำคัญเร่งด่วนในประเด็นด้านสังคมมุสลิมในปัจจุบัน
องค์ประกอบสะพานที่เชื่อมถึงกัน
บทความของอาจารย์อาลี เสือสมิง ได้อธิบายถึงองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้และยอมรับความหลากหลายนี้ว่า:
- องค์ความรู้ (มะอฺริฟะฮฺ): ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายของพหุวัฒนธรรม ซึ่งเป็นผลมาจากความหลากหลายของชาติพันธุ์และพัฒนาการของสังคมมนุษย์
- การยอมรับ (อัล-อิอฺติรอฟ): การยอมรับความหลากหลายและความแตกต่างของกลุ่มวัฒนธรรมในความเป็นชาติพันธุ์ที่มีความต่างทั้งในด้านกายภาพและจิตภาพ
- ขนบธรรมเนียมและจารีต (อัล-อุรฟ์): ขนบธรรมเนียมและจารีตของแต่ละกลุ่มวัฒนธรรม ซึ่งมีพัฒนาการในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการดำเนินชีวิต
- การทำความรู้จัก (อัต-ตะอารุฟ): กระบวนการปฏิสัมพันธ์ในเชิงบวกและการสร้างสรรค์ ตลอดจนการสานเสวนาแบบสันติวิธี
มุมมองของสถาบันวะสะฏียะฮ์เพื่อสันติภาพและการพัฒนา สำนักจุฬาราชมนตรี
สถาบันวะสะฏียะฮ์เพื่อสันติภาพและการพัฒนา สำนักจุฬาราชมนตรี มุ่งเน้นการศึกษาและส่งเสริมหลักการ “วะสะฎียะฮฺ” ในอิสลาม ซึ่งเชื่อว่า การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยหลักการวะสะฎียะฮฺนี้เน้นการมีดุลยภาพ ความยุติธรรม และการยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสังคมที่สงบสุขและกลมเกลียว สถาบันนี้ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอิสลาม และส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักศาสนาในแบบที่สามารถปรับใช้ได้ในสังคมที่หลากหลาย นอกจากนี้ สถาบันยังมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่แนวคิดของวะสะฎียะฮฺให้กับผู้นำชุมชนและประชาชนทั่วไป เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเคารพซึ่งกันและกันในสังคมที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย
อัลกุรอานเพิ่มเติม
ในบทอัล-มาอิดะฮฺ ยังได้กล่าวถึงการที่มนุษย์ถูกสร้างให้มีความหลากหลายเพื่อเป็นการทดสอบจากพระเจ้า:
“สำหรับทั้งหมดจากสูเจ้า เราได้วางบัญญัติและมรรคาอันชัดแจ้งไว้แล้ว และหากว่าพระองค์อัลลอฮฺทรงมีพระประสงค์แล้วไซร้ พระองค์ย่อมทรงบันดาลให้สูเจ้าเป็นประชาคมเดียวกัน แต่เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงทดสอบสูเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทรงนำมายังสูเจ้า ดังนั้นสูเจ้าจงแข่งกันในความดีเถิด ยังอัลลอฮฺคือที่กลับคืนของสูเจ้าทั้งหมด แล้วพระองค์จะทรงบอกสูเจ้าถึงสิ่งที่สูเจ้าเคยมีความแตกต่างกันในสิ่งนั้น” (อัล-มาอิดะฮฺ: 48)
นอกจากนี้ ในโองการอัลกุรอานยังได้กล่าวถึงความหลากหลายของภาษาและสีผิวว่าเป็นสัญญาณหนึ่งของพระเจ้าที่แสดงถึงมหิทธานุภาพและพระปรีชาญาณของพระองค์:
“และส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาณของพระองค์คือการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ตลอดจนความแตกต่างของภาษาพูดและสีผิวของสูเจ้า” (อัร-รูม: 22)
ข้อสรุป
การที่พระเจ้าให้มุสลิมยอมรับพหุวัฒนธรรม ไม่เพียงแต่เป็นคำสั่งทางศาสนา แต่ยังเป็นวิถีทางที่นำไปสู่ความยุติธรรมที่แท้จริงในสังคม เมื่อเรายอมรับความแตกต่างและเคารพในศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน เราจะสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ความเคารพ และความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาไว้ในอัลกุรอาน และเปิดประตูสู่การเข้าใจกันและกัน ในท้ายที่สุด ความยุติธรรมและความเข้าใจอันดีต่อกันนี้ ย่อมช่วยเสริมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่ออัลลอฮ์ในท้ายที่สุดนั่นเอง
อ้างอิง:
- อาลี เสือสมิง, “พหุวัฒนธรรม บนหลักการศาสนาอิสลาม”
- John Rawls, A Theory of Justice
- ผศ.ดร.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข, “ปฏิญญามักกะฮ์ 28 ข้อ บทความจากวารสารมุสลิมบางกอก ฉบับที่ 75”
- อีสมาแอ กาเต๊ะ, “วะสะฎียะฮฺในอิสลามกับการอยู่ร่วมกันท่ามกลางสังคมพหุวัฒนธรรม ด้านความเชื่อและความคิด”
0 Comments