HEADQUARTERS +66 089-110-941-9

บทความวิชาการ: ภาวะกลัวสุเหร่าและการแพนิกจากการทำกิจกรรมในสุเหร่า: การศึกษาเชิงจิตวิทยาและสังคมวิทยา

Published by ArayaWeddingPlanner on

สุเหร่าเป็นศูนย์กลางสำคัญของชุมชนมุสลิมในด้านพิธีกรรมทางศาสนาและกิจกรรมสังคม แต่ในบางสังคมกลับถูกมองด้วยความระแวงและอคติ ความเข้าใจที่ผิดนี้ส่งผลให้เกิดความกลัวและความไม่สบายใจเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมในสุเหร่า บ่อยครั้งปัญหาอาจจะไม่ได้เกิดจากตัวผู้เข้าร่วม แต่เป็นปัญหาการบริหารจัดการของตัวสุเหร่าเอง หรือปัจจัยด้านสังคมอื่นๆ บทความนี้ศึกษาปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะเกลียดกลัวสุเหร่า ผลกระทบต่อชุมชน และแนวทางการแก้ไข โดยอ้างอิงจากงานวิจัยและตัวอย่างกิจกรรมที่ช่วยลดความกลัวและเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสุเหร่า

การกลัวสุเหร่ามีจริง และเป็นปัจจัยหลักให้คนห่างศาสนา

ความกลัวหรือความไม่สบายใจในการเข้าร่วมกิจกรรมในสุเหร่าเป็นปรากฏการณ์จริงที่ทำให้บางคนห่างเหินหรือออกจากศาสนาอิสลาม งานวิจัยของ Pew Research Center (2014) พบว่า 55% ของมุสลิมในสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับการถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกมองในแง่ลบเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมในสุเหร่า ความกังวลนี้ทำให้บางคนลดการมีส่วนร่วมทางศาสนา การศึกษาของ Institute for Social Policy and Understanding (ISPU, 2017) ระบุว่า 33% ของมุสลิมอเมริกันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมในสุเหร่า เนื่องจากกลัวการถูกตัดสินและไม่ยอมรับ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้หลายคนห่างเหินจากชุมชนศาสนา

ไม่ผิดอะไรที่คนจะกลัวสุเหร่า: ปรับมุมมองใหม่เพื่อแก้ไขปัญหา

การกลัวสุเหร่าไม่ใช่สิ่งที่ผิด หากพิจารณาว่าความรู้สึกนี้เกิดจากความไม่คุ้นเคย กลัวการถูกตัดสิน หรือประสบการณ์เชิงลบในอดีต การรับรู้ถึงความรู้สึกนี้เป็นก้าวแรกในการแก้ไขปัญหา การเข้าใจเหตุผลที่ผู้คนรู้สึกกลัวหรือไม่สบายใจเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมในสุเหร่าจะช่วยปรับวิธีการต้อนรับและจัดกิจกรรมให้เข้าถึงง่ายขึ้น การปรับมุมมองนี้ทำให้สุเหร่ากลายเป็นสถานที่ที่เปิดกว้างและดึงดูดใจคนทุกกลุ่ม

ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเกลียดกลัวสุเหร่า

การเกลียดกลัวสุเหร่าเกิดจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน ทั้งจากสื่อ ประสบการณ์ส่วนตัว และความเข้าใจผิดในบทบาทของสุเหร่าในชุมชน โดยจำแนกได้ดังนี้:

  1. ภาพลักษณ์เชิงลบจากสื่อ
    งานวิจัยของ Allen (2017) ใน Social Compass และ Saeed (2007) พบว่าสื่อมีบทบาทในการสร้างทัศนคติของสังคมต่ออิสลาม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงสุเหร่ากับความรุนแรงและการก่อการร้าย ทำให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับอิสลามเกิดความกลัวและอคติ Richardson (2004) ระบุว่าการเชื่อมโยงอิสลามกับการก่อการร้ายในสื่อทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในชุมชนมุสลิมและสุเหร่าโดยรวม
  2. การขาดความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของสุเหร่า
    การขาดความรู้เกี่ยวกับบทบาทของสุเหร่าในชุมชนทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกแยก งานวิจัยของ Runnymede Trust (1997) กล่าวถึงแนวคิด “open view” และ “closed view” ของ Islamophobia ซึ่งชี้ว่าผู้ที่มีทัศนคติเชิงเปิดรับจะมองสุเหร่าเป็นสถานที่เชิงวัฒนธรรม ในขณะที่ผู้ที่มีมุมมองแบบปิดจะมองสุเหร่าเป็นสถานที่ที่ไม่เข้าถึงได้ การขาดความเข้าใจนี้จึงนำไปสู่การปฏิเสธสุเหร่า
  3. ประสบการณ์เชิงลบจากการปฏิสัมพันธ์ในสุเหร่า
    การปฏิสัมพันธ์ในสุเหร่าที่ไม่เป็นมิตรหรือประสบการณ์เชิงลบสามารถนำไปสู่ภาวะเกลียดกลัวสุเหร่าได้ งานวิจัยของ Allen (2017) ชี้ว่าการปฏิบัติต่อผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับสุเหร่าในลักษณะที่กดดันอาจทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาในสุเหร่า กาปฏิสัมพันธ์เชิงลบมีหลายอย่าง เช่น การตำหนิ การตัดสิน การกล่าวหา การดูถูก การใช้อำนาจเพื่อกลั่นแกล้งกีดกัน ตลอดจน ความยุ่งยากในการเข้าหา การคอรัปชั่น และความรู้สึกถูกแบ่ง ชนชั้นทางสังคม เลือกปฏิบัติ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่สุเหร่า

ผลกระทบของภาวะเกลียดกลัวสุเหร่า

  • ผลกระทบต่อชุมชนมุสลิม: ภาวะเกลียดกลัวสุเหร่าทำให้ชุมชนมุสลิมรู้สึกแปลกแยกจากสังคมใหญ่ ขาดความมั่นใจในการแสดงออกถึงความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งอาจส่งผลต่อการบูรณาการทางวัฒนธรรม
  • ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา: งานวิจัยของ Poynting & Mason (2007) ชี้ว่า Islamophobia ทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างชุมชนต่างศาสนา ลดทอนความไว้วางใจ และเพิ่มความขัดแย้งในสังคม

แนวทางการลดภาวะเกลียดกลัวสุเหร่าและการแพนิก

เพื่อสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและเป็นมิตร แนวทางที่สามารถช่วยลดภาวะเกลียดกลัวสุเหร่าและการแพนิก ได้แก่:

  1. การสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเปิดกว้าง
    สุเหร่าควรมีการต้อนรับที่เป็นมิตรและชัดเจนในเรื่องพิธีกรรมและมารยาท ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิมรู้สึกมั่นใจและปลอดภัย การให้ข้อมูลที่เข้าใจง่ายช่วยลดอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกคน
  2. จัดกิจกรรมที่เป็นกลางทางวัฒนธรรมและส่งเสริมการรับรู้
    การจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมและการเสวนาที่เปิดใจ ช่วยลดอคติและเพิ่มความคุ้นเคย ตัวอย่างเช่น โครงการ Awareness Through Mosque Tour (ATMT) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมัสยิดฮารูนและ Discover Islam Bahrain ให้ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมได้ทัวร์สุเหร่า เรียนรู้หลักการอิสลามและวิถีชีวิตของชุมชนมุสลิม ลดความตึงเครียดและส่งเสริมการยอมรับที่ดี
  3. การส่งเสริมความเข้าใจผ่านศิลปะอิสลาม
    การจัดนิทรรศการศิลปะอิสลามและฝึกอบรมศิลปะแขนงต่างๆ ช่วยสร้างความเข้าใจในเชิงสร้างสรรค์ เช่น Institute of Islamic Art Thailand ส่งเสริมการเรียนรู้ศิลปะอิสลาม ทำให้ผู้เข้าร่วมได้รู้จักมรดกศิลปะอิสลามในเชิงลึก
  4. การสร้างสถานที่เรียนรู้ศาสนาอิสลามนอกสุเหร่า
    ศูนย์การเรียนรู้นอกสุเหร่าช่วยลดความกดดันให้ผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับศาสนาได้เรียนรู้ในบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ เช่น มูลนิธิสันติชน และ บ้านพหุวัฒนธรรมอารยา ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้สนใจสามารถเรียนรู้และรู้สึกสบายใจก่อนเข้าร่วมกิจกรรมในสุเหร่า
  5. ส่งเสริมการพัฒนานักวิชาการศาสนาอิสลามที่มีทักษะการสื่อสารและความเป็นมิตรกับพหุวัฒนธรรม
    การพัฒนานักวิชาการศาสนาอิสลามให้มีทักษะการสื่อสารที่สามารถเข้าถึงและสร้างความเข้าใจกับผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญ นักวิชาการควรมีความสามารถในการสื่อสารอย่างเปิดใจและให้เกียรติผู้ที่มาจากพื้นหลังทางศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน โดยไม่ตัดสินหรือมีอคติ การฝึกฝนทักษะเหล่านี้ช่วยลดความตึงเครียดและเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก ตัวอย่างเช่น การสัมมนา “บทบาทของสื่อมุสลิมกับความรับผิดชอบทางสังคม” ที่จัดโดยสำนักจุฬาราชมนตรี มุ่งเน้นให้สื่อมุสลิมได้ตระหนักถึงบทบาททางสังคมและจริยธรรม และยังมีการแนะแนวทางการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองต่อการบิดเบือนข้อมูลหรืออคติที่มีต่อชุมชนมุสลิม การส่งเสริมทักษะการสื่อสารของนักวิชาการจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้าใจและสันติภาพในแบบที่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลาย

บ้านพหุวัฒนธรรมอารยา: สถานที่สำหรับการเรียนรู้เบื้องต้นและส่งเสริมการเชื่อมโยงกับสุเหร่า

บ้านพหุวัฒนธรรมอารยาเป็นพื้นที่ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนให้บุคคลที่ไม่ใช่มุสลิมหรือผู้ที่ห่างเหินจากศาสนาอิสลามได้เรียนรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอิสลามในบรรยากาศที่ไม่กดดัน เป็นวิธีการช่วยลดภาวะเกลียดกลัวสุเหร่าและส่งเสริมความเข้าใจศาสนาอิสลามอย่างเป็นกันเอง ผู้ที่ยังไม่มั่นใจในการเข้าร่วมกิจกรรมในสุเหร่าสามารถเริ่มต้นที่บ้านพหุวัฒนธรรมเพื่อรับข้อมูลเบื้องต้นและรู้สึกสบายใจมากขึ้น และเมื่อพวกเขาพร้อม บ้านพหุวัฒนธรรมอารยาจะช่วยประสานงานเพื่อเชื่อมโยงพวกเขากลับสู่สุเหร่าเพื่อเรียนรู้เชิงลึกต่อไป การสนับสนุนนี้ยังรวมถึงการรับบริจาคจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้บ้านพหุวัฒนธรรมสามารถให้บริการแก่บุคคลที่สนใจได้มากขึ้น ส่งเสริมให้การเรียนรู้ศาสนาอิสลามในชุมชนไทยเป็นไปอย่างยั่งยืนและเปิดกว้าง

สรุป

ภาวะเกลียดกลัวสุเหร่าและการแพนิกเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมในสุเหร่าเป็นปัญหาที่มีผลกระทบทางจิตวิทยาและสังคม แนวทางการลดอคตินี้รวมถึงการจัดกิจกรรมที่เป็นกลาง การส่งเสริมความเข้าใจผ่านศิลปะ การสร้างสถานที่เรียนรู้นอกสุเหร่า และการทัวร์สุเหร่าที่เป็นมิตร แนวทางเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมอิสลามและสนับสนุนสังคมที่ยอมรับและเคารพความหลากหลาย


อ้างอิง

  • Allen, C. (2017). “Islamophobia and Social Compass.” Social Compass.
  • Pew Research Center. (2014). Muslim Americans: No Signs of Growth in Alienation or Support for Extremism. Pew Research Center, Religion & Public Life.
  • Institute for Social Policy and Understanding (ISPU). (2017). American Muslim Poll 2017: Muslims at the Crossroads.
  • Poynting, S., & Mason, V. (2007). “The Resistible Rise of Islamophobia: Anti-Muslim Racism in the UK and Australia Before 11 September 2001.” Journal of Sociology, 43(1).
  • Richardson, R. (2004). Islamophobia – Issues, Challenges and Action. Trentham Books.
  • Runnymede Trust. (1997). Islamophobia: A Challenge for Us All. Runnymede Trust.
  • Saeed, A. (2007). “Media, Racism and Islamophobia: The Representation of Islam and Muslims in the Media.” Sociology Compass.

ตัวอย่างจากองค์กรต่าง ๆ

  • สำนักจุฬาราชมนตรี ประเทศไทย
  • มัสยิดฮารูนบางรัก
  • โครงการผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
  • บ้านพหุวัฒนธรรมอารยา วิสาหกิจเพื่อสังคม ประเทศไทย
  • Institute of Islamic Art Thailand

ArayaWeddingPlanner

ArayaWeddingPlanner

www.arayaweddingplanner.com

0 Comments

ใส่ความเห็น

Avatar placeholder