หรือ ทัศนะ ของนักวิชาการ กำลังถูกทำให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ถอดประเด็น สถานะ ทัศนะ ของนักวิชาการศาสนาอิสลาม และผลกระทบต่อการเรียนรู้ศาสนาอิสลามของมุสลิมใหม่
“หลายคนเข้าใจว่า องค์ความรู้อิสลาม คือ ความรู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องให้นักการศาสนาเท่านั้นเป็นผู้ชี้แนะและตัดสินชี้ขาด ข้าพเจ้าเห็นว่าเราอาจเจอปัญหา เรื่องอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ ของนักวิชาการศาสนา เช่น เมื่อเราพูดถึง ฟิกฮ์ ทัศนะของนักวิชาการศาสนา ที่เป็นมนุษย์นั้น ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยหรือไม่? สังคมมุสลิม และคนทั่วไปสามารถตั้งคำถามต่อทัศนะ ในการตีความได้หรือไม่?..”
ส่วนหนึ่งจาก ข้อเขียนของ อาจารย์ เอกรินทร์ ต่วนศิริ ซึ่งเขียนอยู่ใน คำนำสำนักพิมพ์ ของหนังสือ นัยนามอิสลาม โดย อาจารย์ สุชาติ เศรฐมาลินี
เมื่อ มุสลิมใหม่ ต้องพบกับความสับสนทางด้านวิชาการศาสนา
มุสลิมใหม่ ที่เมื่อเข้ารับอิสลาม หรือเรียนรู้ อิสลามแล้ว พบว่า นักวิชาการศาสนานั้น อาจพูดเรื่องเดียวกัน แต่มีคำตอบต่างกัน ที่สำคัญทั้งสองฝ่ายหรือสามฝ่าย หรือมากกว่านั้น ล้วนต่างยืนยันในทัศนะของตนว่าถูกต้องสมบูรณ์ อยู่ในระดับที่เปลี่ยนแปลงตั้งคำถามไม่ได้ โดยเฉพาะในประเด็นปัจจุบัน ซึ่งเป็นประเด็นร่วมสมัยที่ไม่เคยมีอยู่ในสมัยก่อนเช่น ประเด็น การจัดเลี้ยงโต๊ะจีน การเปลี่ยนนามสกุล การใช้สื่อโซเชียล อื่นๆ ซึ่งมักมีทิศทางไม่ตรงกันของแต่ละสำนัก
ความคิดเห็นส่วนบุคคล สถานะที่ ถูกทำให้คล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันไม่อาจแตะต้องเปลี่ยนแปลงได้เหล่านี้เป็นไปตามหลักศาสนาหรือไม่? ความขัดแย้งกันด้านวิชาการศาสนาอิสลาม ที่ ดูเหมือนจะหนักหนาขึ้นทุกวัน พัฒนาจาก การถกเถียงทางวิชาการ กลายเป็นความรุนแรงทางวาจา ด่าทอ ประกาศ กาเฟรต่อกัน สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา การนำเสนอของผู้รู้ในสังคมมุสลิมที่ควรจะ นำความสงบสุขมาสู่สังคมนั้น แต่กลับกลายเป็น ประเด็นนำไปสู่ความขัดแย้ง ลดความสามัคคีลงในสังคมมุสลิมอย่างไร?
มองความสัมพันธ์ระหว่าง มุสลิม ผู้รู้ และ วจนะพระเจ้า
พิจารณาหลักสำคัญในอัลกุรอานระหว่าง ความเชื่อมโยงระหว่าง หลักการศาสนา อิสลาม มุสลิมและผู้รู้ มีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
- ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อตนเอง อัลกุรอานยืนยันหลักการที่ว่าทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และไม่มีใครสามารถรับผิดชอบแทนใครได้ ดังที่กล่าวว่า “และไม่มีผู้ใดแบกภาระแห่งความผิดของผู้อื่นได้” (อัลกุรอาน 6:164) หลักการนี้ชี้ให้เห็นว่ามุสลิมแต่ละคนต้องพิจารณาและตัดสินใจด้วยตนเองในเรื่องศาสนา โดยอาศัยความรู้และเหตุผลที่ถูกต้อง
- การใช้ปัญญาพิจารณาอัลกุรอาน อัลกุรอานเรียกร้องให้มนุษย์ใช้ปัญญาและการใคร่ครวญเพื่อเข้าใจความหมายของคำสอนในศาสนา ดังที่กล่าวว่า “นี่คือคัมภีร์ที่เราได้ประทานลงมาแก่เจ้า เป็นคัมภีร์ที่เต็มไปด้วยความจำเริญ เพื่อพวกเขาจะได้ใคร่ครวญถึงโองการต่าง ๆ ของมัน และเพื่อผู้ที่มีสติปัญญาจะใคร่ครวญ” (อัลกุรอาน 38:29) การเน้นให้ใช้ปัญญานี้ช่วยให้มุสลิมเข้าใจศาสนาในบริบทที่ลึกซึ้งและตรงกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน
- สถานะของผู้รู้ในฐานะที่ปรึกษา อัลกุรอานยังเน้นย้ำถึงบทบาทของผู้รู้ในฐานะที่ปรึกษาและผู้ชี้แนะ โดยไม่ได้มีสถานะในการบังคับหรือควบคุมผู้อื่น ดังที่กล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าจงตักเตือนเถิด เพราะแท้จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น เจ้าหามีอำนาจเหนือพวกเขาไม่” (อัลกุรอาน 88:21-22) คำสอนนี้สะท้อนถึงหลักการที่ว่าผู้รู้มีหน้าที่ในการชี้แนะและให้คำปรึกษา แต่การตัดสินใจยังคงเป็นของบุคคลนั้นเอง
การประชุมระดับนานาชาติ: การสร้างสะพานเชื่อมระหว่างความแตกต่างในอิสลาม
การประชุมอิสลามนานาชาติในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การสันนิบาตโลกมุสลิม (Muslim World League) ณ นครมักกะฮ์ เน้นถึงการส่งเสริมความสามัคคีในหมู่มุสลิม โดยมีประเด็นสำคัญคือการยอมรับความหลากหลายในกลุ่มนิกายและความคิดเห็นต่าง ๆ ลดความขัดแย้งที่เกิดจากความเข้าใจผิดในทัศนะทางศาสนา และหลีกเลี่ยงการกล่าวหาและดูหมิ่นเพื่อรักษาความสมานฉันท์ในชุมชนมุสลิม การประชุมยังได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยทางสังคมศาสตร์หลายชิ้น เช่น งานวิจัยของ Ahmed et al. (2019) ที่แสดงให้เห็นว่า การส่งเสริมความร่วมมือในระดับนานาชาติช่วยลดอคติในกลุ่มศาสนา และงานของ Fischer et al. (2021) ซึ่งเน้นความสำคัญของการสนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในบริบทศาสนา
ประเด็นสำคัญจากปฏิญญามักกะฮ์
- ยอมรับความหลากหลายในกลุ่มนิกาย: ข้อที่ 8 ของปฏิญญามักกะฮ์เน้นว่า “การมีกลุ่มนิกายและความคิดเห็นที่หลากหลายถือเป็นกฎเกณฑ์ของโลกที่ถูกกำหนดโดยพระผู้เป็นเจ้า” สิ่งที่รวมพวกเขาในความเป็นภราดรภาพย่อมสำคัญกว่าสิ่งที่แตกแยก
- ลดการกล่าวหาผู้อื่น: ข้อที่ 17 เตือนว่า การกล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นผู้หลงผิดหรือออกนอกศาสนาควรดำเนินการโดยองค์กรที่มีความยุติธรรมและมีหลักฐานที่แน่ชัดเท่านั้น
- ส่งเสริมการเคารพและการปฏิเสธความเกลียดชัง: ข้อที่ 27 ระบุว่าการดูหมิ่นหรือกระตุ้นความรู้สึกทางนิกายเป็นสิ่งที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของอิสลาม และนำไปสู่ความแตกแยกและความเศร้าโศกในชุมชน
อะไรที่เป็นประโยชน์ในการเรียนศาสนาของมุสลิมใหม่ เมื่อ นักวิชาการทบทวนต้องทบทวนตัวเอง
เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของมุสลิมใหม่ สิ่งสำคัญคือการสร้างพื้นที่สำหรับการตั้งคำถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างอิสระโดยปราศจากการถูกกดดันจากอำนาจของนักวิชาการศาสนา งานวิจัยทางสังคมศาสตร์ เช่น งานของ Ahmed et al. (2019) ชี้ว่า การส่งเสริมการเปิดกว้างทางความคิดช่วยให้ผู้เรียนมีความมั่นใจในการแสวงหาความรู้มากขึ้น Fischer et al. (2021) ยังแสดงให้เห็นว่า การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่มศาสนาเดียวกันช่วยลดอคติและเพิ่มความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
นักวิชาการควรทบทวนบทบาทของตนเองในฐานะผู้นำทางปัญญาและที่ปรึกษา มากกว่าผู้มีอำนาจในการบังคับใช้ความคิดเห็นของตน ความคิดเห็นของนักวิชาการควรเป็นแหล่งข้อมูลที่ช่วยเสริมสร้างความรู้ ไม่ใช่เครื่องมือในการสร้างความแตกแยก เพื่อสร้างสังคมมุสลิมที่สงบสุขและยั่งยืน การยอมรับความหลากหลายและการส่งเสริมความสามัคคีต้องเป็นเป้าหมายหลัก แนวทางสำคัญได้แก่การสนับสนุนการศึกษาเชิงลึก เช่น การเปิดโอกาสให้มุสลิมศึกษาแหล่งข้อมูลโดยตรง การสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เคารพซึ่งกันและกัน และการใช้หลักการศุลห์ (การประนีประนอม) และชูรอ (การปรึกษาหารือ) ในการจัดการความขัดแย้ง การยึดมั่นในสายเชือกของอัลลอฮ์ “และจงยึดมั่นในสายเชือกของอัลลอฮ์ร่วมกันทั้งหมด และอย่าได้แตกแยกกัน” (อัลกุรอาน 3:103) จะเป็นเสาหลักสำคัญในการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมมุสลิมยุคปัจจุบัน
อ้างอิง
- อัลกุรอาน 6:164, 38:29, 88:21-22, 3:103
- ต่วนศิริ, เอกรินทร์. (คำนำสำนักพิมพ์). นัยนามอิสลาม โดย สุชาติ เศรฐมาลินี
- Ahmed, M., Khan, R., & Malik, S. (2019). Interfaith Cooperation and Reduction of Religious Bias: Evidence from Cross-cultural Studies. Journal of Social Science Research, 12(3), 45-67.
- Fischer, G., Abdullah, S., & Noor, F. (2021). Diversity and Inclusion in Religious Contexts: A Multinational Study on Muslim Unity. International Journal of Religious Studies, 18(2), 34-56.
- ปฏิญญามักกะฮ์. (2567). การประชุมอิสลามนานาชาติ. นครมักกะฮ์: องค์การสันนิบาตโลกมุสลิม (Muslim World League)
0 Comments