ภาพยนตร์สารคดี “No Other Land” คว้ารางวัลออสการ์สาขาสารคดียอดเยี่ยมปีนี้ และกลายเป็นประเด็นร้อนทั่วโลก หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องจริงของ หมู่บ้าน Masafer Yatta ในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่มายาวนาน แต่กำลังถูกอิสราเอลขับไล่ออกจากพื้นที่

สิ่งที่ทำให้ “No Other Land” น่าสนใจเป็นพิเศษคือ มันเป็นผลงานที่สร้างร่วมกันโดย บาเซล อัดรา นักกิจกรรมและชาวปาเลสไตน์เจ้าของเรื่อง กับ ยูวัล อับราฮัม นักข่าวชาวอิสราเอล ทั้งสองมาจากคนละฝั่งของความขัดแย้ง แต่เลือกที่จะเล่าเรื่องเดียวกันผ่านสายตาของพวกเขา

เรื่องราวของหนัง: หมู่บ้านที่กำลังหายไป

หนังติดตามชีวิตของบาเซลและครอบครัวของเขา ที่อาศัยอยู่ใน Masafer Yatta หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเทือกเขาฮีบรอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลอิสราเอลประกาศให้เป็นเขตฝึกซ้อมทางทหารตั้งแต่ปี 1981 แม้พื้นที่นี้จะไม่ปรากฏชัดเจนใน Google Maps เนื่องจากข้อจำกัดทางการเมืองและการควบคุมของอิสราเอล แต่ยังสามารถค้นหาข้อมูลจากแหล่งอื่น เช่น OpenStreetMap, รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนอย่าง B’Tselem หรือ UNOCHA ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่นี้

ในหนัง เราได้เห็นบ้านถูกทำลาย สนามเด็กเล่นถูกรื้อถอน การจู่โจมของกลุ่มชาวยิวอพยพ และเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างการที่น้องชายของบาเซลถูกสังหารโดยทหารอิสราเอล มันไม่ใช่แค่เรื่องของความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย แต่เป็นเรื่องของผู้คนที่กำลังถูกไล่ออกจากบ้านของตัวเอง

ทีมผู้สร้าง: มิตรภาพที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งความขัดแย้ง

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษคือ มันถูกสร้างขึ้นโดยคนสองคนที่ควรจะเป็นศัตรูกัน ยูวัล อับราฮัม เป็นชาวอิสราเอลที่เติบโตมาในสังคมที่เชื่อว่าปาเลสไตน์คือภัยคุกคาม ส่วนบาเซล อัดรา เป็นชาวปาเลสไตน์ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอล

แต่เมื่อทั้งสองคนได้เจอกัน พวกเขาค้นพบว่าเรื่องราวของ Masafer Yatta สมควรถูกบอกเล่า ยูวัลตัดสินใจร่วมมือกับบาเซล สร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อให้โลกได้เห็นว่าชีวิตของชาวปาเลสไตน์ที่นี่เป็นอย่างไร

“เมื่อผมมองบาเซล ผมเห็นน้องชายของผม แต่เราสองคนไม่ได้เท่าเทียมกัน ผมเป็นพลเมืองอิสราเอลที่มีสิทธิ์ภายใต้กฎหมายพลเรือน แต่เขาต้องอยู่ภายใต้กฎหมายทางทหาร” ยูวัลกล่าวบนเวทีออสการ์

กระแสตอบรับและข้อถกเถียง

แม้หนังจะได้รับรางวัลออสการ์และเสียงชื่นชมจากนานาชาติ แต่มันก็ถูกโจมตีอย่างหนักจากรัฐบาลอิสราเอล มิกิ โซฮาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและกีฬาของอิสราเอลกล่าวว่า “นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าเศร้าสำหรับโลกแห่งภาพยนตร์” โดยกล่าวหาว่าผู้สร้างหนังบิดเบือนภาพลักษณ์ของอิสราเอล

ในขณะเดียวกัน ยูวัลและบาเซลยังคงได้รับคำขู่คุกคามจากกลุ่มที่ไม่พอใจ โดยเฉพาะหลังจากที่ยูวัลเรียกร้องให้หยุดยิงในกาซ่า ระหว่างการรับรางวัลที่เทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน

แต่สำหรับบาเซล หนังเรื่องนี้เป็นมากกว่ารางวัล “ผมเพิ่งมีลูกสาว และผมหวังว่าเธอจะไม่ต้องเติบโตมาแบบผม—ต้องกลัวว่าบ้านจะถูกทำลาย ต้องอยู่กับความรุนแรงที่ไม่มีวันจบ”

ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงสำคัญ?

“No Other Land” ไม่ใช่หนังที่พยายามบอกว่าใครถูกใครผิด แต่มันพยายามให้คนทั่วโลกได้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นกับผู้คนธรรมดาในพื้นที่ขัดแย้ง คนที่ไม่ได้เป็นนักการเมือง ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้าย แต่เป็นครอบครัวที่เพียงต้องการอยู่ในบ้านของตัวเอง

มันเป็นหนังที่เกิดจากการร่วมมือกันของสองฝ่ายที่ควรจะเป็นศัตรูกัน แต่กลับเลือกที่จะสร้างสะพานแห่งความเข้าใจ แทนที่จะสร้างกำแพงแห่งความเกลียดชัง

และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่มันได้รับรางวัลออสการ์—ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นหนังดี แต่เพราะมันมีพลังที่จะเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่เคยเชื่อว่า “มุสลิมเป็นผู้ร้าย” หรือ “อิสราเอลกับปาเลสไตน์ไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้”

มันทำให้เราต้องตั้งคำถามใหม่: จริง ๆ แล้ว ใครกันแน่ที่เป็นผู้ร้าย?

Categories: Blog

Yaoharee Lahtee

Yaoharee Lahtee

ผู้ก่อตั้ง อารยานิกะห์ ฯ วิสาหกิจเพื่อสังคม ฮับของการแต่งงานอิสลามระหว่างประเทศ

0 Comments

ใส่ความเห็น

Avatar placeholder