HEADQUARTERS +66 089-110-941-9

Sakana Frameworkบ้านที่อบอุ่นในการเรียนรู้ศาสนาอิสลาม

Published by ArayaWeddingPlanner on

แนวทางที่จะช่วยให้คุณ บริหารจัดการ ส่งต่อความรู้ทางศาสนาอิสลามได้ทั้งในระดับครอบครัว และ ระดับการบริหารธุรกิจ หรือการท่องเที่ยว พื้นฐานที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ หรือประเทศไทยรับนักท่องเที่ยวมุสลิมจากทั่วโลก ได้โดยยังรักษาความเป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเดิมโดยการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันระหว่างมุสลิมและผู้ไม่ใช่มุสลิม

Sakana Siam Framework คืออะไร


คือกรอบ และปรัชญา ที่พัฒนาโดยบริษัทอารยา เพื่อช่วยให้ มุสลิมพัฒนาความสัมพันธ์กับอัลลอฮ์ในทางบวก แก่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ใช้สำหรับ ในการให้คำแนะนำและเผยแพร่ศาสนาอิสลาม สำหรับผู้สนใจศาสนาอิสลาม และ มุสลิมใหม่ในประเทศไทย ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยพัฒนามาจาก การให้คำแนะนำทางด้านครอบครัวพหุวัฒนธรรม และได้เชื่อมโยงครอบครัวทีมีความแตกต่างทางศาสนาอิสลาม เข้าสู่วิธีชีวิต และวัฒนธรรมศาสนาอิสลามอย่างสงบสุข ตลอดจน เชื่อมโยง ผู้ประกอบการ ผู้บริหารเข้ามารู้จักศาสนาอิสลาม และ ช่วยเหลือสังคมมุสลิมไทยในบรรยากาศพหุวัฒนธรรม อันดี ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาห้องละหมาดและการเรียนรู้อิสลามขององค์กร อีกทั้ง ยังมีความเชื่อมโยง ให้ความเคารพ ให้เกียรติกับ วิถีชีวิตของวัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันของสังคมไทย ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม

Sakana Siam Framework เปรียบ ศาสนาอิสลามในประเทศไทยเหมือนบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเราซึ่งเป็นมุสลิมไทยอยู่ในบ้านหลังนั้น เมื่อมีคนสนใจศาสนาอิสลาม แง้มดูที่หน้าต่าง แง้มดูที่ประตู ขอเข้ามาเยี่ยมชม ขอเข้ามาพักพิง เราก็ยินดีให้คนเหล่านั้นเข้ามาด้วยความปิติยินดี  และพร้อมต้อนรับ  ใช้เวลาเรียนรู้และอยู่ร่วมกันอย่างสงบ เท่าที่เจ้าบ้านจะดูแลแขกของอัลลอฮ์คนหนึ่งได้  ประตูยังเปิดกว้างสำหรับผู้ไปและมาโดยไม่บังคับใจ ไม่เหนี่ยวรั้ง  เราเพียงทำหน้าที่เจ้าบ้านให้ดีที่สุด ส่งต่อศาสนาด้วยความรู้ และความดี และด้วยความปรารถนาดี ไม่ว่าเค้าจะตัดสินใจอยู่ในบ้านหลังนี้หรือจากไป  อย่างน้อยที่สุดเมื่อเค้าแวะมาที่บ้านหลังนี้แล้ว  เค้าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับอัลลอฮ์ แม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็เป็นความดีมากมายที่มุสลิมคนหนึ่งจะทำได้อย่างเต็มกำลัง

นอกจากนี้ Sakana Siam Framework ยังนำวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมของคนไทยในการดูแลต้อนรับแขกผู้มาเยือนมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนากรอบมาตรฐาน ด้วยการผสมผสานแนวคิดของความสงบสุขและความมั่นคงจากคำว่า “Sakana” เข้ากับวิธีการต้อนรับอย่างอบอุ่นและจริงใจของคนไทย กรอบนี้จึงมีความครอบคลุมและสามารถใช้งานได้กับคนไทยและผู้ประกอบการจากทุกศาสนา การนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ยังช่วยสร้างความเข้าใจและความเคารพในวัฒนธรรมที่หลากหลาย ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและเป็นมิตรในสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม และสามารถปรับให้ประเทศไทย เป็นบ้านที่พร้อมต้อนรับ แขกมุสลิมผู้มาเยือนจากทั่วโลกได้เช่นกัน

คำว่า “سَكَنَ” (ซะกะนะ) เป็นเป็นรากศัพท์สำคัญในภาษาอาหรับ ที่มีความหมายลึกซึ้งและสื่อถึงความสงบสุข ความมั่นคง และการพักพิงที่มนุษย์ทุกคนแสวงหา การนำคำนี้มาใช้ในบริบทของอัลกุรอานและปรัชญาชีวิตช่วยให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของการมีที่พักพิงที่ปลอดภัยและมั่นคง ทั้งในด้านกายและจิตใจ

วัตถุประสงค์


1.เพิ่มความสัมพันธ์ในทางบวกกับอัลลอฮ์ต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม
2.เพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีของคนมุสลิมและผู้ไม่ใช่มุสลิมในประเทศไทย
3.เพิ่มความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวที่มาจากต่างศาสนาในบรรยากาศพหุวัฒนธรรม
4.เพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการในการบริหารลูกค้ามุสลิมในบรรยากาศพหุวัฒนธรรม
5.เพิ่มศักยภาพประเทศไทยในการรับรองลูกค้ามุสลิมจากทั่วโลกโดยไม่กระทบวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเดิม

กรอบนี้เหมาะกับวัฒนธรรมไทยอย่างไหร?

Sakana Siam Framework เป็นโมเดลที่เหมาะสมกับประเทศไทยที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธถึง 95% เนื่องจากเน้นการให้ความเคารพและยอมรับในวัฒนธรรมและความเชื่อเดิมของชุมชนท้องถิ่น การยอมรับและการเคารพในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพุทธเป็นหัวใจสำคัญของโมเดลนี้ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมุสลิมและชาวพุทธในประเทศไทย งานวิจัยของ Geert Hofstede (1980) แสดงให้เห็นว่าการยอมรับและการเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานและสังคม ลิงก์ไปยังงานวิจัย

การให้ความเคารพในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพุทธยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาจากหลากหลายประเทศและศาสนา Sakana Siam Framework จะช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในการรับรองลูกค้ามุสลิมจากทั่วโลก โดยไม่กระทบวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเดิมของชุมชนท้องถิ่น งานวิจัยของ United Nations World Tourism Organization (UNWTO) แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เคารพและยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรมสามารถเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ลิงก์ไปยังงานวิจัย

โมเดลนี้ยังเน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวที่มีความหลากหลายทางศาสนา โดยการใช้หลักการของ Sakana Siam Framework เช่น การสื่อสารที่ดีและการตระหนักรู้ในความเป็นมนุษย์ จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและลดความขัดแย้งในสังคม งานวิจัยของ John Gottman (1999) แสดงให้เห็นว่าการสื่อสารที่ดีและการฟังอย่างตั้งใจเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ลิงก์ไปยังงานวิจัย

Sakana รากศัพท์และความหมาย 

 รายละเอียดของคำว่า “سَكَنَ” (ซะกะนะ) หมายถึง:

  • การอยู่อาศัย
  • การพักผ่อน
  • ความสงบ
  • ความมั่นคง
  • การอยู่ร่วมกันในที่เดียวอย่างสบายใจ

คำว่า “سَكَنَ” (ซะกะนะ) และรูปแบบต่างๆ ของมันปรากฏในหลายโองการในอัลกุรอาน โดยเน้นถึงความสงบสุขและความมั่นคงที่มนุษย์ควรมี ตัวอย่างที่สำคัญคือในซูเราะฮ์ อัล-รูม (Surah Ar-Rum) โองการที่ 21:

“وَمِنْ آيَاتِهِ أَنْ خَلَقَ لَكُمْ مِنْ أَنْفُسِكُمْ أَزْوَاجًا لِتَسْكُنُوا إِلَيْهَا وَجَعَلَ بَيْنَكُمْ مَوَدَّةً وَرَحْمَةً ۚ إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَآيَاتٍ لِقَوْمٍ يَتَفَكَّرُونَ”

แปลว่า: “และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ คือพระองค์ได้ทรงสร้างคู่ครองจากตัวของพวกเจ้าเอง เพื่อพวกเจ้าจะได้พักพิงอยู่กับนาง และพระองค์ทรงบันดาลความรักและความเมตตาไว้ระหว่างพวกเจ้า แน่นอน ในสิ่งนั้นย่อมมีสัญญาณสำหรับหมู่ชนที่ใช้ความคิด” ซูเราะฮ์ อัล-รูม (Surah Ar-Rum) โองการที่ 21:

ในบริบทนี้ คำว่า “لِتَسْكُنُوا إِلَيْهَا” (ลิตัสกุนู อิลัยฮา) สื่อถึงการสร้างคู่ครองเพื่อให้มนุษย์ได้พบความสงบและความสบายใจในกันและกัน ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและความสมบูรณ์ของชีวิตครอบครัวซึ่งบทนี้ได้สะทอ้นถึงเป้าหมายที่สำคัญของการแต่งงานและการสร้างครอบบครัว ที่เป็น รากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม


ภายในกรอบของ SAKANA SIAM

1. Intifah: ประตูแห่งมิตรภาพ (Door of Friendship)

Intifah หมายถึง “การเปิด” หรือ “การยอมรับ” ซึ่งในบริบทของ Sakana Siam Framework นั้นหมายถึงการเปิดใจและโอกาสในการสื่อสารกับคนที่สนใจอิสลาม ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุผลใด การเปิดใจนี้สำคัญในการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม หลักการนี้สอดคล้องกับอัลกุรอานที่ว่า “จงเชิญชวนสู่ทางของพระเจ้าของเจ้าด้วยปัญญาและการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งกับพวกเขาด้วยวิธีที่ดีที่สุด” (อัน-นะห์ล 16:125)

การเปิดใจรับฟังและยอมรับผู้อื่นเป็นหัวใจสำคัญของ Intifah มันหมายถึงการไม่เพียงแค่เปิดประตูบ้านให้กับผู้มาเยือน แต่ยังเปิดใจรับฟังความคิดเห็นและความรู้สึกของพวกเขา การเปิดใจรับฟังเช่นนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม

ในอิสลาม การเปิดใจและการยอมรับเป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอานและฮะดิษ ตัวอย่างหนึ่งคือฮะดิษที่ว่า “ผู้ที่เชื่อในอัลลอฮ์และวันสุดท้าย จงให้เกียรติแขกของเขา” (ซอเฮียะห์ บุคอรี 6018, ซอเฮียะห์ มุสลิม 47) ฮะดิษนี้เน้นการให้เกียรติและต้อนรับแขก ซึ่งสะท้อนถึงการเปิดใจรับฟังและยอมรับผู้อื่น

นอกจากนี้ Intifah ยังเกี่ยวข้องกับหลักการของการให้คำปรึกษาที่ดีและการแสดงความจริงใจ ตัวอย่างเช่น “ศาสนาอิสลามคือการให้คำปรึกษาที่ดี” (ซอเฮียะห์ มุสลิม 55) การให้คำปรึกษาที่ดีหมายถึงการฟังและให้คำแนะนำด้วยความจริงใจและเปิดใจรับฟังผู้อื่น

งานวิจัยทางจิตวิทยาและสังคมศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการเปิดใจรับฟังและการสื่อสารที่เปิดเผยมีผลบวกต่อการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน การวิจัยของ Carl Rogers (1957) พบว่าการฟังอย่างเปิดเผยและไม่ตัดสินช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและการยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น

การเปิดใจรับฟังและยอมรับผู้อื่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำ แต่หมายถึงการให้โอกาสในการแสดงความเห็นและการพูดคุยอย่างเปิดเผย การเปิดใจรับฟังเช่นนี้จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม

การนำหลักการ Intifah มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมและศาสนาได้พบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การสร้างพื้นที่สำหรับการพูดคุยและการสนทนาที่เปิดเผยและเป็นมิตร นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักการเปิดใจรับฟังและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น

การเปิดใจรับฟังและยอมรับผู้อื่นยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนอื่น ๆ และช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม การมีทัศนคติที่เปิดใจและยอมรับจะช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างผู้คน

การใช้หลักการ Intifah ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและชุมชน การเปิดใจรับฟังและยอมรับความคิดเห็นของสมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้านจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสร้างความสงบสุขในชุมชน การเปิดใจรับฟังยังช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น ทำให้เราสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาได้อย่างเหมาะสม

2. Freewill of Journey: ยอมรับเสรีภาพในการตัดสินใจ

Freewill of Journey เน้นการไม่บังคับใจให้เข้าสู่ศาสนา การไม่บังคับใจเมื่อต้องการออกจากศาสนา และเชื่อมั่นว่า เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของเค้ากับอัลลอฮ์ การให้เสรีภาพนี้ช่วยส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์กับอัลลอฮ์ในทางที่เป็นบวก

หลักการนี้สอดคล้องกับอัลกุรอานในโองการที่ว่า “ไม่มีการบังคับในศาสนา” (อัล-บากอรอฮฺ 2:256) โองการนี้ชัดเจนที่สุดในการเน้นเสรีภาพในการเลือกศาสนาและการไม่บังคับ นอกจากนี้ยังมีโองการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น “และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมดจะเชื่อศรัทธาทั้งหมด แล้วเจ้าจะบังคับผู้คนให้เป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ?” (ยุนุส 10:99) และ “และจงกล่าวเถิด ความจริงจากพระเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้นผู้ใดที่ต้องการก็จงศรัทธา และผู้ใดที่ต้องการก็จงปฏิเสธ” (อัล-กะฮฟ 18:29)

การไม่บังคับใจในการเลือกศาสนาและเสรีภาพในการตัดสินใจเป็นสิ่งที่สำคัญในอิสลาม การบังคับใจให้คนเข้าสู่ศาสนาหรือออกจากศาสนานั้นไม่เพียงแค่ขัดกับหลักการอิสลาม แต่ยังขัดกับหลักการสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน การให้เสรีภาพในการตัดสินใจเป็นการให้เกียรติและเคารพสิทธิของแต่ละบุคคลในการเลือกวิถีชีวิตและความเชื่อของตนเอง

งานวิจัยทางสังคมศาสตร์และสิทธิมนุษยชนแสดงให้เห็นว่าการให้เสรีภาพในการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเคารพสิทธิมนุษยชน งานวิจัยของ Amartya Sen (1999) แสดงให้เห็นว่าเสรีภาพในการเลือกเป็นพื้นฐานของการพัฒนามนุษย์และสังคม

ในบริบทของ Sakana Siam Framework การให้เสรีภาพในการตัดสินใจจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม การไม่บังคับใจและการเคารพการตัดสินใจของผู้อื่นจะช่วยสร้างความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม การให้เสรีภาพในการตัดสินใจยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนอื่น ๆ และช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม

การนำหลักการ Freewill of Journey มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการตัดสินใจ การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักและเคารพสิทธิในการตัดสินใจของผู้อื่น

การให้เสรีภาพในการตัดสินใจยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน การเคารพการตัดสินใจของสมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้านจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสร้างความสงบสุขในชุมชน การให้เสรีภาพในการตัดสินใจยังช่วยให้เราเข้าใจและเคารพความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น ทำให้เราสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาได้อย่างเหมาะสม

3. Positive Communication: ใช้การสื่อสารที่ดี

Positive Communication เน้นการสื่อสารด้วยดี ด้วยคำพูดที่ดี และวิธีที่ดี การสื่อสารที่ดีช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

การสื่อสารที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การใช้คำพูดที่ดีและวิธีการที่เหมาะสมในการสื่อสารจะช่วยสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง การสื่อสารที่ดีหมายถึงการพูดด้วยความเคารพและให้เกียรติผู้อื่น การใช้คำพูดที่สร้างสรรค์และสร้างความเป็นมิตร การฟังอย่างตั้งใจและเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

ในอิสลาม การสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอานและฮะดิษ ตัวอย่างหนึ่งคือฮะดิษที่ว่า “ใครที่เชื่อในอัลลอฮ์และวันสุดท้าย จงพูดคำที่ดีหรือไม่ก็เงียบ” (ซอเฮียะห์ บุคอรี 6018, ซอเฮียะห์ มุสลิม 47) ฮะดิษนี้เน้นการพูดคำที่ดีและการเงียบเมื่อไม่สามารถพูดดีได้ การพูดคำที่ดีหมายถึงการใช้คำพูดที่สร้างสรรค์และสร้างความเป็นมิตร การเงียบเมื่อไม่สามารถพูดดีได้หมายถึงการหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่อาจทำร้ายหรือสร้างความขัดแย้ง

นอกจากนี้ยังมีฮะดิษอื่น ๆ ที่เน้นการสื่อสารที่ดี เช่น “คำพูดที่ดีคือการทำทาน” (มุสลิม 4695) การใช้คำพูดที่ดีเป็นการทำทานและเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การให้อภัยและการขออภัยยังเป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารที่ดี เช่น “การให้อภัยและการขออภัยคือการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดี” (ติรมีซี 2027)

งานวิจัยทางจิตวิทยาและสังคมศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการสื่อสารที่ดีมีผลบวกต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้ง งานวิจัยของ John Gottman (1999) แสดงให้เห็นว่าการสื่อสารที่ดีและการฟังอย่างตั้งใจเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ลิงก์ไปยังงานวิจัย

การนำหลักการ Positive Communication มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การสอนและการฝึกอบรมเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารที่ดีในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย การส่งเสริมการใช้คำพูดที่สร้างสรรค์และสร้างความเป็นมิตรในที่ทำงานและชุมชน การสร้างพื้นที่สำหรับการพูดคุยและการสนทนาที่เปิดเผยและเป็นมิตร

การสื่อสารที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเข้าใจในสังคม การใช้คำพูดที่ดีและการฟังอย่างตั้งใจจะช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างผู้คน การสื่อสารที่ดีช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและสนับสนุน ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยและเคารพกันและกัน

4. Cultural Sensitivity:  เคารพวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน

Cultural Sensitivity เน้นการให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรม การเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเดิมของแต่ละฝ่าย ช่วยสร้างความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลาย

ในอิสลาม การเคารพและการยอมรับในความหลากหลายของวัฒนธรรมและศาสนาเป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอาน ตัวอย่างหนึ่งคือโองการที่ว่า “โอ้มนุษย์ทั้งหลาย! แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้ามาจากชายและหญิง และได้ทำให้พวกเจ้าเป็นกลุ่มชนและเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อให้พวกเจ้าได้รู้จักกัน” (อัล-หุญรอต 49:13) โองการนี้เน้นการสร้างความเข้าใจและการยอมรับในความหลากหลายของวัฒนธรรมและศาสนา

นอกจากนี้ยังมีโองการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น “และหนึ่งในสัญญาณของพระองค์คือการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และความแตกต่างของภาษาพูดและสีผิวของพวกเจ้า” (อัร-รูม 30:22) โองการนี้เน้นการยอมรับความแตกต่างของวัฒนธรรมและภาษาพูด การยอมรับและการเคารพในความหลากหลายจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

งานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาชี้ให้เห็นว่าการเคารพและยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรมช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน งานวิจัยของ Geert Hofstede (1980) แสดงให้เห็นว่าการยอมรับและการเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานและสังคม ลิงก์ไปยังงานวิจัย

ในบริบทของ Sakana Siam Framework การเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ การให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเดิมของแต่ละฝ่ายช่วยสร้างความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลาย การเคารพวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้อื่นจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

การนำหลักการ Cultural Sensitivity มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อย นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักและเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้อื่น

การเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้อื่นยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนอื่น ๆ และช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม การมีทัศนคติที่เปิดใจและยอมรับจะช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างผู้คน การเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้อื่นยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน

5. Humanity: การตระหนักรู้ความเป็นมนุษย์

Humanity เน้นการตระหนักรู้ว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกัน ผิดพลาดได้ และการสื่อสารกันในฐานะมนุษย์ต่อมนุษย์

ในอิสลาม การตระหนักรู้และการเคารพความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอาน ตัวอย่างหนึ่งคือโองการที่ว่า “และผู้ใดรักษาชีวิตหนึ่งชีวิตก็เสมือนกับได้รักษาชีวิตของมนุษย์ทั้งหมด” (อัล-มาอิดะฮฺ 5:32) โองการนี้เน้นการเคารพชีวิตมนุษย์และการให้ความสำคัญกับการรักษาชีวิต

นอกจากนี้ยังมีโองการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น “แท้จริงผู้ศรัทธาคือพี่น้องกัน” (อัล-หุญรอต 49:10) โองการนี้เน้นการเคารพและการเป็นพี่น้องกัน การตระหนักรู้ว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกันและการเคารพซึ่งกันและกันจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

งานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการเคารพและยอมรับความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและสงบสุข งานวิจัยของ Martha Nussbaum (1997) แสดงให้เห็นว่าการเคารพในความเป็นมนุษย์และการยอมรับในสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานของการสร้างสังคมที่ยุติธรรม ลิงก์ไปยังงานวิจัย

ในบริบทของ Sakana Siam Framework การตระหนักรู้ว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกัน ผิดพลาดได้ และการสื่อสารกันในฐานะมนุษย์ต่อมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ การเคารพและการยอมรับในความเป็นมนุษย์จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

การนำหลักการ Humanity มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจและความเคารพในความเป็นมนุษย์ การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์ นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักและเคารพความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น

การตระหนักรู้ว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกันและการเคารพซึ่งกันและกันยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน การเคารพความเป็นมนุษย์ของสมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้านจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสร้างความสงบสุขในชุมชน การเคารพและการยอมรับในความเป็นมนุษย์ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนอื่น ๆ และช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม

6. Tafahhum: การเรียนรู้ข้อเท็จจริง

Tafahhum เน้นการเรียนรู้บนข้อเท็จจริง ยอมรับข้อเท็จจริงในโลกมุสลิมทั้งด้านดีและไม่ดี การเรียนรู้ข้อเท็จจริงช่วยสร้างความเข้าใจและการยอมรับที่แท้จริง

การเรียนรู้ข้อเท็จจริงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเข้าใจและการยอมรับ การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการเรียนรู้จากความจริงจะช่วยสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นและลดความขัดแย้งในสังคม การเรียนรู้ข้อเท็จจริงหมายถึงการตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความเป็นกลางและความจริงใจ

ในอิสลาม การเรียนรู้ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอาน ตัวอย่างหนึ่งคือโองการที่ว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา! หากมีคนชั่วนำข่าวมาสู่พวกเจ้า จงตรวจสอบให้แน่ใจ” (อัล-หุญรอต 49:6) โองการนี้เน้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการไม่ทำตามข่าวลือหรือข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยัน

นอกจากนี้ยังมีโองการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น “และอย่าได้ทำตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในสิ่งนั้น แท้จริงการได้ยิน การมองเห็น และใจ ทั้งหมดนั้นจะถูกสอบสวน” (อัล-อิสรออ์ 17:36) โองการนี้เน้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการไม่ทำตามสิ่งที่ไม่มีความรู้

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้ข้อเท็จจริงและการตรวจสอบข้อมูลมีผลบวกต่อการสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้ง งานวิจัยของ Daniel Kahneman (2011) แสดงให้เห็นว่าการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความเป็นกลางช่วยเพิ่มความเข้าใจและการตัดสินใจที่ดี ลิงก์ไปยังงานวิจัย

ในบริบทของ Sakana Siam Framework การเรียนรู้ข้อเท็จจริงและการยอมรับข้อเท็จจริงในโลกมุสลิมทั้งด้านดีและไม่ดีเป็นสิ่งสำคัญ การเรียนรู้ข้อเท็จจริงจะช่วยสร้างความเข้าใจและการยอมรับที่แท้จริง การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความเป็นกลางจะช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างผู้คน

การนำหลักการ Tafahhum มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างพื้นที่สำหรับการพูดคุยและการสนทนาที่เปิดเผยและเป็นมิตร นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักและตรวจสอบข้อเท็จจริง

การเรียนรู้ข้อเท็จจริงและการยอมรับข้อเท็จจริงยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการพูดคุยอย่างเปิดเผยจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสร้างความสงบสุขในชุมชน การเรียนรู้ข้อเท็จจริงยังช่วยให้เราเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น ทำให้เราสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาได้อย่างเหมาะสม

Sakana Framework
บ้านที่อบอุ่นของมิตรสหายในการเรียนรู้ศาสนาอิสลาม


Sakana Siam Framework คืออะไร


คือกรอบ และปรัชญา ที่พัฒนาโดยบริษัทอารยา เพื่อช่วยให้ มุสลิมพัฒนาความสัมพันธ์กับอัลลอฮ์ในทางบวก แก่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ใช้สำหรับ ในการให้คำแนะนำและเผยแพร่ศาสนาอิสลาม สำหรับผู้สนใจศาสนาอิสลาม และ มุสลิมใหม่ในประเทศไทย ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยพัฒนามาจาก การให้คำแนะนำทางด้านครอบครัวพหุวัฒนธรรม และได้เชื่อมโยงครอบครัวทีมีความแตกต่างทางศาสนาอิสลาม เข้าสู่วิธีชีวิต และวัฒนธรรมศาสนาอิสลามอย่างสงบสุข ตลอดจน เชื่อมโยง ผู้ประกอบการ ผู้บริหารเข้ามารู้จักศาสนาอิสลาม และ ช่วยเหลือสังคมมุสลิมไทยในบรรยากาศพหุวัฒนธรรม อันดี ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาห้องละหมาดและการเรียนรู้อิสลามขององค์กร อีกทั้ง ยังมีความเชื่อมโยง ให้ความเคารพ ให้เกียรติกับ วิถีชีวิตของวัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันของสังคมไทย ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม

Sakana Siam Framework เปรียบ ศาสนาอิสลามในประเทศไทยเหมือนบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเราซึ่งเป็นมุสลิมไทยอยู่ในบ้านหลังนั้น เมื่อมีคนสนใจศาสนาอิสลาม แง้มดูที่หน้าต่าง แง้มดูที่ประตู ขอเข้ามาเยี่ยมชม ขอเข้ามาพักพิง เราก็ยินดีให้คนเหล่านั้นเข้ามาด้วยความปิติยินดี  และพร้อมต้อนรับ  ใช้เวลาเรียนรู้และอยู่ร่วมกันอย่างสงบ เท่าที่เจ้าบ้านจะดูแลแขกของอัลลอฮ์คนหนึ่งได้  ประตูยังเปิดกว้างสำหรับผู้ไปและมาโดยไม่บังคับใจ ไม่เหนี่ยวรั้ง  เราเพียงทำหน้าที่เจ้าบ้านให้ดีที่สุด ส่งต่อศาสนาด้วยความรู้ และความดี และด้วยความปรารถนาดี ไม่ว่าเค้าจะตัดสินใจอยู่ในบ้านหลังนี้หรือจากไป  อย่างน้อยที่สุดเมื่อเค้าแวะมาที่บ้านหลังนี้แล้ว  เค้าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับอัลลอฮ์ แม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็เป็นความดีมากมายที่มุสลิมคนหนึ่งจะทำได้อย่างเต็มกำลัง

นอกจากนี้ Sakana Siam Framework ยังนำวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมของคนไทยในการดูแลต้อนรับแขกผู้มาเยือนมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนากรอบมาตรฐาน ด้วยการผสมผสานแนวคิดของความสงบสุขและความมั่นคงจากคำว่า “Sakana” เข้ากับวิธีการต้อนรับอย่างอบอุ่นและจริงใจของคนไทย กรอบนี้จึงมีความครอบคลุมและสามารถใช้งานได้กับคนไทยและผู้ประกอบการจากทุกศาสนา การนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ยังช่วยสร้างความเข้าใจและความเคารพในวัฒนธรรมที่หลากหลาย ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและเป็นมิตรในสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม และสามารถปรับให้ประเทศไทย เป็นบ้านที่พร้อมต้อนรับ แขกมุสลิมผู้มาเยือนจากทั่วโลกได้เช่นกัน

คำว่า “سَكَنَ” (ซะกะนะ) เป็นเป็นรากศัพท์สำคัญในภาษาอาหรับ ที่มีความหมายลึกซึ้งและสื่อถึงความสงบสุข ความมั่นคง และการพักพิงที่มนุษย์ทุกคนแสวงหา การนำคำนี้มาใช้ในบริบทของอัลกุรอานและปรัชญาชีวิตช่วยให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของการมีที่พักพิงที่ปลอดภัยและมั่นคง ทั้งในด้านกายและจิตใจ

รากศัพท์และความหมาย 

 รายละเอียดของคำว่า “سَكَنَ” (ซะกะนะ) หมายถึง:

  • การอยู่อาศัย
  • การพักผ่อน
  • ความสงบ
  • ความมั่นคง
  • การอยู่ร่วมกันในที่เดียวอย่างสบายใจ

คำว่า “سَكَنَ” (ซะกะนะ) และรูปแบบต่างๆ ของมันปรากฏในหลายโองการในอัลกุรอาน โดยเน้นถึงความสงบสุขและความมั่นคงที่มนุษย์ควรมี ตัวอย่างที่สำคัญคือในซูเราะฮ์ อัล-รูม (Surah Ar-Rum) โองการที่ 21:

“وَمِنْ آيَاتِهِ أَنْ خَلَقَ لَكُمْ مِنْ أَنْفُسِكُمْ أَزْوَاجًا لِتَسْكُنُوا إِلَيْهَا وَجَعَلَ بَيْنَكُمْ مَوَدَّةً وَرَحْمَةً ۚ إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَآيَاتٍ لِقَوْمٍ يَتَفَكَّرُونَ”

แปลว่า: “และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ คือพระองค์ได้ทรงสร้างคู่ครองจากตัวของพวกเจ้าเอง เพื่อพวกเจ้าจะได้พักพิงอยู่กับนาง และพระองค์ทรงบันดาลความรักและความเมตตาไว้ระหว่างพวกเจ้า แน่นอน ในสิ่งนั้นย่อมมีสัญญาณสำหรับหมู่ชนที่ใช้ความคิด”

ในบริบทนี้ คำว่า “لِتَسْكُنُوا إِلَيْهَا” (ลิตัสกุนู อิลัยฮา) สื่อถึงการสร้างคู่ครองเพื่อให้มนุษย์ได้พบความสงบและความสบายใจในกันและกัน ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและความสมบูรณ์ของชีวิตครอบครัวซึ่งบทนี้ได้สะทอ้นถึงเป้าหมายที่สำคัญของการแต่งงานและการสร้างครอบบครัว ที่เป็น รากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม

ภายในกรอบของ SAKANA SIAM

1. Intifah: ประตูแห่งมิตรภาพ (Door of Friendship)

Intifah หมายถึง “การเปิด” หรือ “การยอมรับ” ซึ่งในบริบทของ Sakana Siam Framework นั้นหมายถึงการเปิดใจและโอกาสในการสื่อสารกับคนที่สนใจอิสลาม ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุผลใด การเปิดใจนี้สำคัญในการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม หลักการนี้สอดคล้องกับอัลกุรอานที่ว่า “จงเชิญชวนสู่ทางของพระเจ้าของเจ้าด้วยปัญญาและการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งกับพวกเขาด้วยวิธีที่ดีที่สุด” (อัน-นะห์ล 16:125)

การเปิดใจรับฟังและยอมรับผู้อื่นเป็นหัวใจสำคัญของ Intifah มันหมายถึงการไม่เพียงแค่เปิดประตูบ้านให้กับผู้มาเยือน แต่ยังเปิดใจรับฟังความคิดเห็นและความรู้สึกของพวกเขา การเปิดใจรับฟังเช่นนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม

ในอิสลาม การเปิดใจและการยอมรับเป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอานและฮะดิษ ตัวอย่างหนึ่งคือฮะดิษที่ว่า “ผู้ที่เชื่อในอัลลอฮ์และวันสุดท้าย จงให้เกียรติแขกของเขา” (ซอเฮียะห์ บุคอรี 6018, ซอเฮียะห์ มุสลิม 47) ฮะดิษนี้เน้นการให้เกียรติและต้อนรับแขก ซึ่งสะท้อนถึงการเปิดใจรับฟังและยอมรับผู้อื่น

นอกจากนี้ Intifah ยังเกี่ยวข้องกับหลักการของการให้คำปรึกษาที่ดีและการแสดงความจริงใจ ตัวอย่างเช่น “ศาสนาอิสลามคือการให้คำปรึกษาที่ดี” (ซอเฮียะห์ มุสลิม 55) การให้คำปรึกษาที่ดีหมายถึงการฟังและให้คำแนะนำด้วยความจริงใจและเปิดใจรับฟังผู้อื่น

งานวิจัยทางจิตวิทยาและสังคมศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการเปิดใจรับฟังและการสื่อสารที่เปิดเผยมีผลบวกต่อการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน การวิจัยของ Carl Rogers (1957) พบว่าการฟังอย่างเปิดเผยและไม่ตัดสินช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและการยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น

การเปิดใจรับฟังและยอมรับผู้อื่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำ แต่หมายถึงการให้โอกาสในการแสดงความเห็นและการพูดคุยอย่างเปิดเผย การเปิดใจรับฟังเช่นนี้จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม

การนำหลักการ Intifah มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมและศาสนาได้พบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การสร้างพื้นที่สำหรับการพูดคุยและการสนทนาที่เปิดเผยและเป็นมิตร นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักการเปิดใจรับฟังและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น

การเปิดใจรับฟังและยอมรับผู้อื่นยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนอื่น ๆ และช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม การมีทัศนคติที่เปิดใจและยอมรับจะช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างผู้คน

การใช้หลักการ Intifah ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและชุมชน การเปิดใจรับฟังและยอมรับความคิดเห็นของสมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้านจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสร้างความสงบสุขในชุมชน การเปิดใจรับฟังยังช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น ทำให้เราสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาได้อย่างเหมาะสม

2. Freewill of Journey: ยอมรับเสรีภาพในการตัดสินใจ

Freewill of Journey เน้นการไม่บังคับใจให้เข้าสู่ศาสนา การไม่บังคับใจเมื่อต้องการออกจากศาสนา และเชื่อมั่นว่า เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของเค้ากับอัลลอฮ์ การให้เสรีภาพนี้ช่วยส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์กับอัลลอฮ์ในทางที่เป็นบวก

หลักการนี้สอดคล้องกับอัลกุรอานในโองการที่ว่า “ไม่มีการบังคับในศาสนา” (อัล-บากอรอฮฺ 2:256) โองการนี้ชัดเจนที่สุดในการเน้นเสรีภาพในการเลือกศาสนาและการไม่บังคับ นอกจากนี้ยังมีโองการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น “และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมดจะเชื่อศรัทธาทั้งหมด แล้วเจ้าจะบังคับผู้คนให้เป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ?” (ยุนุส 10:99) และ “และจงกล่าวเถิด ความจริงจากพระเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้นผู้ใดที่ต้องการก็จงศรัทธา และผู้ใดที่ต้องการก็จงปฏิเสธ” (อัล-กะฮฟ 18:29)

การไม่บังคับใจในการเลือกศาสนาและเสรีภาพในการตัดสินใจเป็นสิ่งที่สำคัญในอิสลาม การบังคับใจให้คนเข้าสู่ศาสนาหรือออกจากศาสนานั้นไม่เพียงแค่ขัดกับหลักการอิสลาม แต่ยังขัดกับหลักการสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน การให้เสรีภาพในการตัดสินใจเป็นการให้เกียรติและเคารพสิทธิของแต่ละบุคคลในการเลือกวิถีชีวิตและความเชื่อของตนเอง

งานวิจัยทางสังคมศาสตร์และสิทธิมนุษยชนแสดงให้เห็นว่าการให้เสรีภาพในการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเคารพสิทธิมนุษยชน งานวิจัยของ Amartya Sen (1999) แสดงให้เห็นว่าเสรีภาพในการเลือกเป็นพื้นฐานของการพัฒนามนุษย์และสังคม

ในบริบทของ Sakana Siam Framework การให้เสรีภาพในการตัดสินใจจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม การไม่บังคับใจและการเคารพการตัดสินใจของผู้อื่นจะช่วยสร้างความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม การให้เสรีภาพในการตัดสินใจยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนอื่น ๆ และช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม

การนำหลักการ Freewill of Journey มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการตัดสินใจ การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักและเคารพสิทธิในการตัดสินใจของผู้อื่น

การให้เสรีภาพในการตัดสินใจยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน การเคารพการตัดสินใจของสมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้านจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสร้างความสงบสุขในชุมชน การให้เสรีภาพในการตัดสินใจยังช่วยให้เราเข้าใจและเคารพความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น ทำให้เราสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาได้อย่างเหมาะสม

3. Positive Communication: ใช้การสื่อสารที่ดี

Positive Communication เน้นการสื่อสารด้วยดี ด้วยคำพูดที่ดี และวิธีที่ดี การสื่อสารที่ดีช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

การสื่อสารที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การใช้คำพูดที่ดีและวิธีการที่เหมาะสมในการสื่อสารจะช่วยสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง การสื่อสารที่ดีหมายถึงการพูดด้วยความเคารพและให้เกียรติผู้อื่น การใช้คำพูดที่สร้างสรรค์และสร้างความเป็นมิตร การฟังอย่างตั้งใจและเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

ในอิสลาม การสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอานและฮะดิษ ตัวอย่างหนึ่งคือฮะดิษที่ว่า “ใครที่เชื่อในอัลลอฮ์และวันสุดท้าย จงพูดคำที่ดีหรือไม่ก็เงียบ” (ซอเฮียะห์ บุคอรี 6018, ซอเฮียะห์ มุสลิม 47) ฮะดิษนี้เน้นการพูดคำที่ดีและการเงียบเมื่อไม่สามารถพูดดีได้ การพูดคำที่ดีหมายถึงการใช้คำพูดที่สร้างสรรค์และสร้างความเป็นมิตร การเงียบเมื่อไม่สามารถพูดดีได้หมายถึงการหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่อาจทำร้ายหรือสร้างความขัดแย้ง

นอกจากนี้ยังมีฮะดิษอื่น ๆ ที่เน้นการสื่อสารที่ดี เช่น “คำพูดที่ดีคือการทำทาน” (มุสลิม 4695) การใช้คำพูดที่ดีเป็นการทำทานและเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การให้อภัยและการขออภัยยังเป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารที่ดี เช่น “การให้อภัยและการขออภัยคือการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดี” (ติรมีซี 2027)

งานวิจัยทางจิตวิทยาและสังคมศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการสื่อสารที่ดีมีผลบวกต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้ง งานวิจัยของ John Gottman (1999) แสดงให้เห็นว่าการสื่อสารที่ดีและการฟังอย่างตั้งใจเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ลิงก์ไปยังงานวิจัย

การนำหลักการ Positive Communication มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การสอนและการฝึกอบรมเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารที่ดีในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย การส่งเสริมการใช้คำพูดที่สร้างสรรค์และสร้างความเป็นมิตรในที่ทำงานและชุมชน การสร้างพื้นที่สำหรับการพูดคุยและการสนทนาที่เปิดเผยและเป็นมิตร

การสื่อสารที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเข้าใจในสังคม การใช้คำพูดที่ดีและการฟังอย่างตั้งใจจะช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างผู้คน การสื่อสารที่ดีช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและสนับสนุน ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยและเคารพกันและกัน

4. Cultural Sensitivity:  เคารพวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน

Cultural Sensitivity เน้นการให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรม การเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเดิมของแต่ละฝ่าย ช่วยสร้างความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลาย

ในอิสลาม การเคารพและการยอมรับในความหลากหลายของวัฒนธรรมและศาสนาเป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอาน ตัวอย่างหนึ่งคือโองการที่ว่า “โอ้มนุษย์ทั้งหลาย! แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้ามาจากชายและหญิง และได้ทำให้พวกเจ้าเป็นกลุ่มชนและเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อให้พวกเจ้าได้รู้จักกัน” (อัล-หุญรอต 49:13) โองการนี้เน้นการสร้างความเข้าใจและการยอมรับในความหลากหลายของวัฒนธรรมและศาสนา

นอกจากนี้ยังมีโองการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น “และหนึ่งในสัญญาณของพระองค์คือการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และความแตกต่างของภาษาพูดและสีผิวของพวกเจ้า” (อัร-รูม 30:22) โองการนี้เน้นการยอมรับความแตกต่างของวัฒนธรรมและภาษาพูด การยอมรับและการเคารพในความหลากหลายจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

งานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาชี้ให้เห็นว่าการเคารพและยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรมช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน งานวิจัยของ Geert Hofstede (1980) แสดงให้เห็นว่าการยอมรับและการเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานและสังคม ลิงก์ไปยังงานวิจัย

ในบริบทของ Sakana Siam Framework การเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ การให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเดิมของแต่ละฝ่ายช่วยสร้างความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลาย การเคารพวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้อื่นจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

การนำหลักการ Cultural Sensitivity มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจและความเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อย นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักและเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้อื่น

การเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้อื่นยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนอื่น ๆ และช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม การมีทัศนคติที่เปิดใจและยอมรับจะช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างผู้คน การเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้อื่นยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน

5. Humanity: การตระหนักรู้ความเป็นมนุษย์

Humanity เน้นการตระหนักรู้ว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกัน ผิดพลาดได้ และการสื่อสารกันในฐานะมนุษย์ต่อมนุษย์

ในอิสลาม การตระหนักรู้และการเคารพความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอาน ตัวอย่างหนึ่งคือโองการที่ว่า “และผู้ใดรักษาชีวิตหนึ่งชีวิตก็เสมือนกับได้รักษาชีวิตของมนุษย์ทั้งหมด” (อัล-มาอิดะฮฺ 5:32) โองการนี้เน้นการเคารพชีวิตมนุษย์และการให้ความสำคัญกับการรักษาชีวิต

นอกจากนี้ยังมีโองการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น “แท้จริงผู้ศรัทธาคือพี่น้องกัน” (อัล-หุญรอต 49:10) โองการนี้เน้นการเคารพและการเป็นพี่น้องกัน การตระหนักรู้ว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกันและการเคารพซึ่งกันและกันจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

งานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการเคารพและยอมรับความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและสงบสุข งานวิจัยของ Martha Nussbaum (1997) แสดงให้เห็นว่าการเคารพในความเป็นมนุษย์และการยอมรับในสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานของการสร้างสังคมที่ยุติธรรม ลิงก์ไปยังงานวิจัย

ในบริบทของ Sakana Siam Framework การตระหนักรู้ว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกัน ผิดพลาดได้ และการสื่อสารกันในฐานะมนุษย์ต่อมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ การเคารพและการยอมรับในความเป็นมนุษย์จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

การนำหลักการ Humanity มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจและความเคารพในความเป็นมนุษย์ การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์ นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักและเคารพความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น

การตระหนักรู้ว่ามนุษย์นั้นเท่าเทียมกันและการเคารพซึ่งกันและกันยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน การเคารพความเป็นมนุษย์ของสมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้านจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสร้างความสงบสุขในชุมชน การเคารพและการยอมรับในความเป็นมนุษย์ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนอื่น ๆ และช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม

6. Tafahhum: การเรียนรู้ข้อเท็จจริง

Tafahhum เน้นการเรียนรู้บนข้อเท็จจริง ยอมรับข้อเท็จจริงในโลกมุสลิมทั้งด้านดีและไม่ดี การเรียนรู้ข้อเท็จจริงช่วยสร้างความเข้าใจและการยอมรับที่แท้จริง

การเรียนรู้ข้อเท็จจริงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเข้าใจและการยอมรับ การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการเรียนรู้จากความจริงจะช่วยสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นและลดความขัดแย้งในสังคม การเรียนรู้ข้อเท็จจริงหมายถึงการตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความเป็นกลางและความจริงใจ

ในอิสลาม การเรียนรู้ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่สำคัญและถูกเน้นย้ำในหลายโองการของอัลกุรอาน ตัวอย่างหนึ่งคือโองการที่ว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา! หากมีคนชั่วนำข่าวมาสู่พวกเจ้า จงตรวจสอบให้แน่ใจ” (อัล-หุญรอต 49:6) โองการนี้เน้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการไม่ทำตามข่าวลือหรือข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยัน

นอกจากนี้ยังมีโองการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น “และอย่าได้ทำตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในสิ่งนั้น แท้จริงการได้ยิน การมองเห็น และใจ ทั้งหมดนั้นจะถูกสอบสวน” (อัล-อิสรออ์ 17:36) โองการนี้เน้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการไม่ทำตามสิ่งที่ไม่มีความรู้

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้ข้อเท็จจริงและการตรวจสอบข้อมูลมีผลบวกต่อการสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้ง งานวิจัยของ Daniel Kahneman (2011) แสดงให้เห็นว่าการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความเป็นกลางช่วยเพิ่มความเข้าใจและการตัดสินใจที่ดี ลิงก์ไปยังงานวิจัย

ในบริบทของ Sakana Siam Framework การเรียนรู้ข้อเท็จจริงและการยอมรับข้อเท็จจริงในโลกมุสลิมทั้งด้านดีและไม่ดีเป็นสิ่งสำคัญ การเรียนรู้ข้อเท็จจริงจะช่วยสร้างความเข้าใจและการยอมรับที่แท้จริง การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความเป็นกลางจะช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างผู้คน

การนำหลักการ Tafahhum มาใช้ในสังคมไทยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างพื้นที่สำหรับการพูดคุยและการสนทนาที่เปิดเผยและเป็นมิตร นอกจากนี้ยังสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษาด้วยการสอนนักเรียนให้รู้จักและตรวจสอบข้อเท็จจริง

การเรียนรู้ข้อเท็จจริงและการยอมรับข้อเท็จจริงยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการพูดคุยอย่างเปิดเผยจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสร้างความสงบสุขในชุมชน การเรียนรู้ข้อเท็จจริงยังช่วยให้เราเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น ทำให้เราสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาได้อย่างเหมาะสม


บทสรุป

Sakana Siam Framework เป็นกรอบและปรัชญาที่พัฒนาโดยบริษัทอารยา ซึ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมในประเทศไทย โดยมุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ในทางบวกกับอัลลอฮ์ การยอมรับเสรีภาพในการตัดสินใจ และการสื่อสารที่ดี นอกจากนี้ยังเน้นการเคารพวิถีชีวิตและวัฒนธรรม การตระหนักรู้ความเป็นมนุษย์ และการเรียนรู้ข้อเท็จจริง ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวที่มาจากต่างศาสนา และเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการในการบริหารลูกค้ามุสลิมในบรรยากาศพหุวัฒนธรรม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มศักยภาพประเทศไทยในการรับรองลูกค้ามุสลิมจากทั่วโลกโดยไม่กระทบวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเดิม


ภาคผนวก: รายการอ้างอิงฮะดิษ อัลกุรอาน และงานวิจัย

อัลกุรอาน (Quran)

  1. ซูเราะฮ์ อัน-นะห์ล (16:125) – “จงเชิญชวนสู่ทางของพระเจ้าของเจ้าด้วยปัญญาและการตักเตือนที่ดี…”
  2. ซูเราะฮ์ อัล-บากอรอฮฺ (2:256) – “ไม่มีการบังคับในศาสนา…”
  3. ซูเราะฮ์ ยุนุส (10:99) – “และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมดจะเชื่อศรัทธาทั้งหมด…”
  4. ซูเราะฮ์ อัล-กะฮฟ (18:29) – “และจงกล่าวเถิด ความจริงจากพระเจ้าของพวกเจ้า…”
  5. ซูเราะฮ์ อัล-มาอิดะฮฺ (5:32) – “และผู้ใดรักษาชีวิตหนึ่งชีวิตก็เสมือนกับได้รักษาชีวิตของมนุษย์ทั้งหมด…”
  6. ซูเราะฮ์ อัล-อิสรออ์ (17:36) – “และอย่าได้ทำตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในสิ่งนั้น…”
  7. ซูเราะฮ์ อัล-หุญรอต (49:6) – “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา! หากมีคนชั่วนำข่าวมาสู่พวกเจ้า จงตรวจสอบให้แน่ใจ…”
  8. ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน (3:159) – “และด้วยความเมตตาจากอัลลอฮ์ เจ้าจึงได้เป็นผู้อ่อนโยนกับพวกเขา…”
  9. ซูเราะฮ์ อัล-ฟุรกอน (25:63) – “และบ่าวของพระผู้ทรงเมตตา ผู้ดำเนินอยู่บนแผ่นดินอย่างสุภาพ…”
  10. ซูเราะฮ์ อัล-อันฟาล (8:61) – “และหากพวกเขาเอนเอียงไปสู่สันติภาพ เจ้าก็จงเอนเอียงไปด้วย…”

ฮะดิษ (Hadith)

  1. ซอเฮียะห์ บุคอรี 6018 – “ผู้ที่เชื่อในอัลลอฮ์และวันสุดท้าย จงให้เกียรติแขกของเขา…”
  2. ซอเฮียะห์ มุสลิม 47 – “ผู้ที่เชื่อในอัลลอฮ์และวันสุดท้าย จงให้เกียรติแขกของเขา…”
  3. ซอเฮียะห์ มุสลิม 55 – “ศาสนาอิสลามคือการให้คำปรึกษาที่ดี…”
  4. ติรมีซี 2027 – “การให้อภัยและการขออภัยคือการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดี…”
  5. มุสลิม 4695 – “คำพูดที่ดีคือการทำทาน…”
  6. บุคอรี 13 – “มุสลิมคือผู้ที่คนอื่นปลอดภัยจากลิ้นและมือของเขา…”
  7. มุสลิม 96 – “การให้อภัยคือความยิ่งใหญ่…”
  8. ติรมีซี 2509 – “การเชื่อฟังและการตระหนักรู้ต่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด…”
  9. นาซี 5008 – “ศาสนาอิสลามคือการแสดงความรักและความเมตตา…”
  10. ติรมีซี 2511 – “การแสดงความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญในศาสนาอิสลาม…”

งานวิจัย (Research)

  1. Amartya Sen (1999) – “เสรีภาพในการเลือกเป็นพื้นฐานของการพัฒนามนุษย์และสังคม…”
  2. John Gottman (1999) – “การสื่อสารที่ดีและการฟังอย่างตั้งใจเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน…”
  3. Geert Hofstede (1980) – “การยอมรับและการเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานและสังคม…”
  4. Martha Nussbaum (1997) – “การเคารพในความเป็นมนุษย์และการยอมรับในสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานของการสร้างสังคมที่ยุติธรรม…”
  5. Daniel Kahneman (2011) – “การใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยความเป็นกลางช่วยเพิ่มความเข้าใจและการตัดสินใจที่ดี…”
  6. Robert Putnam (2000) – “การสร้างความสัมพันธ์ในชุมชนช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชาธิปไตย…”
  7. Edward Said (1978) – “การทำความเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ…”
  8. Michael Sandel (2009) – “การให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจริยธรรมและการเคารพความเป็นมนุษย์มีผลต่อการสร้างสังคมที่ยุติธรรม…”
  9. Yuval Noah Harari (2014) – “การเข้าใจประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติช่วยให้เรามองเห็นความเป็นมนุษย์ในปัจจุบันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น…”
  10. Angela Duckworth (2016) – “ความมุ่งมั่นและความพยายามในการพัฒนาตนเองเป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จ…”