🕊️ บทนำ

บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเพื่อกล่าวโทษหรือสร้างความเกลียดชังต่อชนชาติหรือศาสนาใด
แต่ต้องการชวนให้เห็นภาพประวัติศาสตร์จากอีกมุมหนึ่ง — มุมที่ไม่ถูกเล่าในกระแสหลัก
เพื่อให้เราเข้าใจอดีตมากขึ้น และร่วมกันสร้างอนาคตที่สงบสุขกว่านี้

#ประวัติศาสตร์กลับหัว


🗓️ ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ

ปีเหตุการณ์หมายเหตุ
1914กลุ่มชาตินิยมเซอร์เบียลอบสังหารมกุฎราชกุมารออสเตรียที่ไม่นิยมสงครามจุดเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
1914–1918สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
อังกฤษ สหรัฐสนับสนุนฝ่ายลอบสังหาร
แบ่งฝ่ายมหาอำนาจกลาง vs สัมพันธมิตร
1916ข้อตกลงลับ Sykes–Picot ระหว่างอังกฤษ–ฝรั่งเศสแบ่งตะวันออกกลางหลังออตโตมันล่ม
1917 (พ.ย.)คำมั่นสัญญาบัลโฟร์อังกฤษให้คำมั่นแก่กลุ่มยิว
1918สงครามยุติ ฝ่ายพันธมิตรชนะออตโตมันล่มสลาย (เริ่มกระบวนการ)
1920–1947การอพยพของชาวยิวสู่ปาเลสไตน์เพิ่มขึ้นเริ่มต้นความขัดแย้งกับชาวอาหรับ
1948การประกาศจัดตั้งรัฐอิสราเอลเกิดสงครามอาหรับ–ยิวทันที


1. 🎯 จุดเริ่มของสงคราม

  • ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (มกุฎราชกุมารออสเตรีย-ฮังการี)
    เป็นผู้นำที่ ไม่ต้องการทำสงครามกับเซอร์เบีย
    → แต่กลับถูกลอบสังหารโดยกลุ่ม Black Hand (เซอร์เบีย)

2. ⚖️ โลกแบ่งขั้วอำนาจ

มหาอำนาจกลางสัมพันธมิตร
เยอรมนี 🇩🇪อังกฤษ 🇬🇧
ออสเตรีย–ฮังการี 🇦🇹🇭🇺 (ผู้นำที่ถูกลอบสังหาร)ฝรั่งเศส 🇫🇷
ออตโตมัน (โลกมุสลิม) 🇹🇷อเมริกา 🇺🇸
รัสเซีย 🇷🇺

3. 🇬🇧 อังกฤษและคำมั่นสัญญาบัลโฟร์

“รัฐบาลอังกฤษเห็นด้วยกับการจัดตั้งบ้านแห่งชาติของชาวยิวในปาเลสไตน์…”
– คำมั่นสัญญาบัลโฟร์ (Balfour Declaration), 2 พ.ย. 1917

  • ให้สัญญาแก่ชาวยิว เพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการเงิน/การทูต
  • กลุ่มที่มีบทบาทสูง: ตระกูล Rothschild ตระกูลชาวยิว(สายธนาคาร, อังกฤษ–อเมริกา) ที่รวยที่สุดในโลก ในปัจจุบัน
Waddesdon Manor ในบักกิงแฮมเชอร์, อังกฤษ เป็นหนึ่งในคฤหาสน์หลายสิบหลังของตระกูล ถูกบริจาคให้เป็นสมบัติชาติในปี 1957 (หลังการตั้งถิ่นฐานของยิวในปาเลสไตน์สำเร็จ)

ตระกูล Rothschild มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจของอังกฤษตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะผ่านสถาบันการเงิน N M Rothschild & Sons ที่ก่อตั้งในลอนดอน ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในแหล่งทุนหลักของรัฐบาลอังกฤษในช่วงสงครามนโปเลียน และต่อเนื่องมาจนถึงยุคจักรวรรดิ

การดำเนินงานของธนาคารดังกล่าวไม่ได้จำกัดเพียงกิจกรรมทางการเงินทั่วไป หากแต่มีอิทธิพลเชิงโครงสร้างต่อ นโยบายสาธารณะ การเงินระหว่างประเทศ และการบริหารความเสี่ยงของรัฐ ตัวอย่างชัดเจนคือการมีบทบาทเป็นผู้ให้กู้รายสำคัญในโครงการระดับชาติ การลงทุนในระบบราง และการค้าต่างประเทศ ซึ่งล้วนเป็นแกนหลักของการขยายอำนาจจักรวรรดิอังกฤษ

ที่สำคัญคือ Rothschild มีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญใน การบริหารและกำหนดราคาทองคำระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในฐานะผู้มีอำนาจควบคุม “London Gold Fixing” ซึ่งมีอิทธิพลต่อความมั่นคงทางการเงินในระดับโลก โดยเฉพาะในยุคที่ระบบทองคำ (Gold Standard) เป็นรากฐานของเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 บรรยากาศการเมืองของยุโรปเต็มไปด้วยความตึงเครียดจากการแข่งขันทางทหารและอาณานิคม ความสามารถของรัฐต่าง ๆ ในการเตรียมกำลังและสะสมทรัพยากรอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งต้องพึ่งพาโครงสร้างทางการเงินข้ามชาติ ซึ่งตระกูล Rothschild เป็นกลไกสำคัญ ทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และออสเตรีย

ดังนั้น แม้ตระกูล Rothschild จะไม่ปรากฏบทบาททางการเมืองโดยตรง แต่การมีอำนาจควบคุมทุนและการเงินระหว่างรัฐ ทำให้พวกเขาเป็น กลุ่มผลประโยชน์ระดับเหนือรัฐ ซึ่งมีอิทธิพลต่อโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างชัดเจน


4. 🛑 การสัญญาซ้อนของอังกฤษ

กลุ่มข้อตกลง
ชาวอาหรับสัญญาแมคมาฮอน–ฮุสเซน
ฝรั่งเศสข้อตกลงไซคส์–พิโกต์
ชาวยิวคำมั่นสัญญาบัลโฟร์

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้ให้คำมั่นสัญญาทับซ้อนกันถึงสามฉบับกับกลุ่มต่าง ๆ โดยในปี 1915-1916 อังกฤษสัญญากับชาริฟฮุสเซนแห่งมักกะฮ์ว่าจะสนับสนุนการจัดตั้งรัฐอาหรับอิสระ หากอาหรับลุกขึ้นต่อต้านจักรวรรดิออตโตมัน (สัญญาแมคมาฮอน–ฮุสเซน) แต่ในปีเดียวกัน อังกฤษกลับตกลงลับกับฝรั่งเศสในการแบ่งดินแดนตะวันออกกลางหลังสงคราม โดยไม่ให้ชาวอาหรับปกครองตนเอง (ข้อตกลงไซคส์–พิโกต์) และในปี 1917 อังกฤษยังให้คำมั่นแก่ขบวนการไซออนิสต์ว่าจะสนับสนุนการจัดตั้งบ้านแห่งชาติของชาวยิวในปาเลสไตน์ (คำมั่นสัญญาบัลโฟร์) ทำให้คำสัญญาทั้งสามซ้อนทับและขัดแย้งกัน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสิทธิเหนือปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นต้นตอของความขัดแย้งในภูมิภาคจนถึงปัจจุบัน.

แม้จะมีการตกลงกับสามฝ่าย แต่เมื่อสิ้นสุดสงคราม
“คนที่ร่วมกับอังกฤษในตอนนั้น แทบไม่ได้สิ่งที่ตกลงไว้เลย”
โดยเฉพาะกลุ่มอาหรับที่ร่วมมือกับอังกฤษ กลับกลายเป็นผู้เสียเปรียบที่สุด

ชาริฟฮุสเซนแห่งมักกะฮ์ หวังจะได้เป็น กษัตริย์แห่งรัฐอาหรับที่รวมดินแดนจากซีเรียถึงฮิญาซ แต่ที่ได้จริงคือ จอร์แดน

กลุ่มสิ่งที่คาดหวังสิ่งที่ได้รับ
ชาวอาหรับ (ฮุสเซน)ตั้งรัฐอาหรับใหญ่ได้แค่จอร์แดน (ลูกหลานฮุสเซนปกครอง)
ฝรั่งเศสซีเรีย–เลบานอนได้จริง
อังกฤษปาเลสไตน์–อิรักได้จริง
ชาวยิวบ้านแห่งชาติในปาเลสไตน์ได้รัฐอิสราเอลในปี 1948

5. 🇷🇸 ยูโกสลาเวีย และผลลัพธ์ของเซอร์เบีย

  • เซอร์เบียได้รวมชาติเป็น “ยูโกสลาเวีย” หลังสงคราม
  • แต่ความขัดแย้งภายในทำให้ แตกแยกอีกครั้งในศตวรรษที่ 20
    อ่านประวัติเพิ่มเติม คลิก

6. 🧨 ปาเลสไตน์และอิสราเอล

  • หลังอังกฤษรับปาเลสไตน์เป็นเขตแมนเดต (Mandate)
  • การอพยพชาวยิว เพิ่มขึ้น
  • จุดเริ่มต้นของ ปัญหาชาวอาหรับ–ยิว
  • นำไปสู่การตั้งรัฐอิสราเอลในปี 1948

1 การย้ายถิ่นฐานและเทคนิคการยึดครองดินแดนในปาเลสไตน์ (1920–1947)

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรออตโตมันล่มสลาย อังกฤษได้รับสิทธิ์บริหาร “ปาเลสไตน์” ภายใต้ระบบ Mandate ของสันนิบาตชาติ (League of Nations) ในปี 1920 โดยมีพันธกิจทั้งในการปกครองประชากรท้องถิ่น (อาหรับ) และส่งเสริมการจัดตั้งบ้านเกิดของชาวยิว (Jewish National Home) ตาม ปฏิญญา Balfour (1917)


2. การอพยพของชาวยิว (Jewish Immigration)

มีคลื่นการอพยพของชาวยิวหลายระลอกจากยุโรปตะวันออก รัสเซีย เยอรมนี และโปแลนด์ โดยมีแรงจูงใจหลักจาก

  • การต่อต้านชาวยิว (Antisemitism)
  • อุดมการณ์ชาตินิยมไซออนิสต์
  • การสนับสนุนจากองค์กรไซออนิสต์และประเทศตะวันตก

จำนวนประชากรชาวยิวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ:

  • จาก 10% ในปี 1917
  • เป็นกว่า 30% ภายในปี 1947

3. เทคนิคและยุทธศาสตร์การยึดครองดินแดน

3.1 การซื้อที่ดินอย่างเป็นระบบ

  • ดำเนินการโดยองค์กรอย่าง Jewish National Fund (JNF) และ Jewish Agency
  • มุ่งซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินอาหรับที่อยู่ต่างประเทศ (absentee landlords)
  • ที่ดินที่ซื้อส่วนใหญ่จะกลายเป็น “ที่ดินแห่งชาติของชาวยิว” ที่ห้ามชาวอาหรับทำกินหรืออยู่อาศัย

3.2 การตั้งถิ่นฐานแบบมีเป้าหมาย

  • การก่อตั้ง kibbutz (ชุมชนสหกรณ์) และ moshav (หมู่บ้านเกษตร) ซึ่งเป็นหน่วยตั้งถิ่นฐานทางเศรษฐกิจและการป้องกัน
  • วางแผนการตั้งถิ่นฐานในตำแหน่งยุทธศาสตร์: ใกล้น้ำ, ถนน, เขตป้องกัน เพื่อเตรียมรองรับรัฐในอนาคต
  • มีนโยบาย “ชาวยิวทำงานให้ชาวยิว” (Hebrew Labor) กีดกันแรงงานอาหรับ

3.3 ความร่วมมือกับอังกฤษในบางช่วง

  • ในช่วงแรก อังกฤษสนับสนุนขบวนการไซออนิสต์เพื่อสร้างสมดุลกับประชากรอาหรับ
  • มีการจัดตั้งหน่วยติดอาวุธที่ได้รับการฝึกจากอังกฤษ เช่น Haganah
  • ต่อมาเมื่อชาวอาหรับลุกขึ้นต่อต้าน อังกฤษจึงเริ่มจำกัดการอพยพ (เช่น White Paper ปี 1939) แต่สายเกินไปที่จะควบคุม

4. การต่อต้านจากชาวอาหรับปาเลสไตน์

  • เกิด กบฏอาหรับใหญ่ (Arab Revolt) ระหว่างปี 1936–1939 ต่อต้านการตั้งถิ่นฐานของยิวและอำนาจอังกฤษ
  • อังกฤษใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรง และสลายโครงสร้างทางการเมืองของชาวอาหรับ

5. ผลลัพธ์และเส้นทางสู่การแบ่งแยกดินแดน (Partition)

  • ภายในปี 1947 ชาวยิวเป็นเจ้าของที่ดินเพียงประมาณ 6–7% ของปาเลสไตน์ แต่มีโครงสร้างชุมชนและกองกำลังติดอาวุธที่แข็งแกร่ง
  • องค์การสหประชาชาติ (UN) เสนอแผนการแบ่งแยกปาเลสไตน์ (UN Partition Plan) ให้เป็นรัฐยิวและรัฐอาหรับ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น
  • การตั้งรัฐอิสราเอลในปี 1948 เกิดขึ้นจากพื้นฐานโครงสร้างและการวางระบบที่สร้างขึ้นในช่วงปี 1920–1947

📚 หมายเหตุทางวิชาการ

นักวิชาการ เช่น Ilan Pappé และ Rashid Khalidi ได้อธิบายว่าเป็น “การยึดครองที่ไม่ต้องใช้รถถัง” แต่ใช้เงินทุน ความชอบธรรมจากอำนาจโลก และเครือข่ายระหว่างประเทศ

การยึดครองในยุคนี้ไม่ได้ดำเนินด้วยกำลังทหารโดยตรง แต่เป็นรูปแบบ “การตั้งถิ่นฐานเชิงยุทธศาสตร์” (strategic settler colonialism)

ระหว่างปี 1920–1947 กระบวนการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในปาเลสไตน์ภายใต้การอำนวยการของอังกฤษและขบวนการไซออนิสต์ละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง โดยประชากรอาหรับดั้งเดิมถูกตัดสิทธิ์ในการกำหนดอนาคตของตนเอง (self-determination) ถูกกีดกันจากสิทธิในที่ดิน การจ้างงาน และถูกจำกัดจากการเข้าถึงทรัพยากรในลักษณะเลือกปฏิบัติตามเชื้อชาติ (ethnic discrimination) การซื้อที่ดินจำนวนมากและการตั้งนิคมเฉพาะชาวยิวได้ทำลายเสถียรภาพเศรษฐกิจของประชากรท้องถิ่น ส่งผลให้เกิดการไร้ที่ดิน ความยากจน และความไม่มั่นคงด้านอาหาร ขณะเดียวกัน การต่อต้านจากชาวอาหรับถูกตอบโต้ด้วยการใช้กำลังทหาร การจับกุม และการทำลายโครงสร้างชุมชนอย่างกว้างขวาง

กระบวนการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นการวางรากฐานอย่างเป็นระบบเพื่อเตรียมการจัดตั้งรัฐยิว โดยอาศัยอำนาจอาณานิคมและทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ ทำให้การดำรงอยู่ของประชากรอาหรับถูกมองว่าเป็นอุปสรรคที่ต้องจัดการ ซึ่งถือเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล ทั้งในแง่ของความเสมอภาค เสรีภาพ สิทธิในทรัพย์สิน และหลักการห้ามการบังคับย้ายถิ่นฐาน (forcible transfer) ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน

หลังการตั้งรัฐอิสราเอลได้เพียงปีเดียว สหประชาชาติได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนผ่านอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 (1949) ซึ่งวางหลักเกณฑ์ด้านมนุษยธรรมในยามสงคราม โดยระบุข้อห้ามสำคัญ เช่น ห้ามย้ายประชากรของรัฐตนเองเข้าไปในดินแดนที่ยึดครอง ห้ามบังคับย้ายถิ่นฐานของประชากรท้องถิ่น และห้ามทำลายบ้านเรือนโดยไม่มีเหตุผลทางทหาร นอกจากนี้หลังสงครามหกวันในปี 1967 มติ 242 ของ UN ยังยืนยันหลักการว่า “การยึดดินแดนด้วยสงครามเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” พร้อมเรียกร้องให้อิสราเอลถอนตัวจากดินแดนที่ยึดครอง และให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้หลักการเคารพอธิปไตยซึ่งกันและกัน.

แม้สหประชาชาติจะกำหนดหลักการและข้อห้ามอย่างชัดเจนผ่าน อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 (1949) และ มติ 242 (1967) แต่อิสราเอลยังคงละเมิดข้อตกลงเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเด็น การตั้งนิคมยิว (Jewish Settlements) ในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งเป็นดินแดนยึดครอง อิสราเอลได้ ย้ายพลเมืองของตนเองจำนวนมากเข้าไปอาศัยในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งขัดต่อข้อห้ามของอนุสัญญาเจนีวาที่ห้ามย้ายประชากรของรัฐตนเองเข้าไปในดินแดนที่ยึดครอง อีกทั้งยังมีการ ทำลายบ้านเรือนและบังคับย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง ซึ่งหลายกรณีไม่มีความจำเป็นทางทหารตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ อิสราเอลก็ ไม่ถอนตัวจากดินแดนที่ยึดครองหลังปี 1967 อย่างเวสต์แบงก์และโกลานไฮทส์ตามที่มติ 242 เรียกร้อง ส่งผลให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนและความขัดแย้งยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน.


7. 🎬 ฮอลลีวูดเล่าแบบไหน?

  • หนังส่วนใหญ่เล่าให้ ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นพระเอก
  • แทบไม่พูดถึงว่า คนที่ถูกฆ่าเป็นผู้นำที่ไม่ต้องการสงคราม
  • ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์เสมอ?

ตัวอย่าง ภาพยนตร์ Wonder Woman (2017) เป็นตัวอย่างร่วมสมัยที่ชัดเจนของการบิดเบือนบริบทสงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่านเลนส์ของแฟนตาซีฮีโร่แบบตะวันตก โดยใช้ฉากสงครามจริงเป็นเพียงพื้นหลังให้ตัวร้ายเยอรมันกลายเป็นตัวแทนของ “ความชั่วร้าย” อย่างไร้บริบททางประวัติศาสตร์ ตัวละครเยอรมันถูกลดทอนเหลือแค่ “เป้าหมายให้ฮีโร่ฆ่า” โดยไม่มีความลึกในเชิงมนุษยธรรมหรือการเมือง ขณะเดียวกันก็ละเลยบทบาทของออตโตมันและพันธมิตรอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็น “แฟนตาซีปลุกเกลียดศัตรู” ที่ลดคุณค่าการเรียนรู้จากสงครามลง เหลือเพียงการปลุกอารมณ์แบบขาว-ดำในโลกแฟนตาซีของฮอลลีวูด


🔚 สรุปบทเรียน

ประวัติศาสตร์บางด้านถูกทำให้เบาบางหรือเลือนไป
แต่เมื่อเราศึกษาจากหลายมุม เราจะเข้าใจมากขึ้น
ไม่ใช่เพื่อโทษใคร แต่เพื่อ ไม่ให้ซ้ำรอยเดิม


🧩 เสริมการเรียนรู้:

📌 แหล่งเพิ่มเติมแนะนำ:

Categories: Blog

เยาฮารี แหละตี

เยาฮารี แหละตี

ผู้ก่อตั้ง อารยานิกะห์ ฯ วิสาหกิจเพื่อสังคม ฮับของการแต่งงานอิสลามระหว่างประเทศ

0 Comments

ใส่ความเห็น

Avatar placeholder